ตัวเลขเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยืนยันได้จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Sentiment Index) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุด ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่า ระดับความเชื่อมั่นลดลงมาอยู่ที่ 61.7 คะแนน โดยลดลงจากเดือนมกราคมก่อนหน้ามากกว่า 8% และทำสถิติเลวร้ายที่สุดในรอบ 10 ปี
สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า ชาวอเมริกันเริ่มวิตกกังวลต่อฐานะทางการเงินของครอบครัว ท่ามกลางสภาพสังคมที่ต้องเผชิญกับวิกฤตไวรัสโควิดระบาดควบคู่ไปกับปัญหาเงินเฟ้อพุ่ง
โทมัส ไซมอนส์ (Thomas Simons) นักเศรษฐศาสตร์แห่งตลาดการเงินของ Jefferies กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากเงินเฟ้อแล้วก็ไม่มีปัจจัยอื่นใดที่จะฉุดให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวอเมริกันปรับตัวลดลงในระดับที่ต่ำเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวไปในทางบวกเพียงใดก็ตาม
รายงานความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีขึ้นเพียงไม่นานหลังมีการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนมกราคมที่ขยับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.5% ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปี
ขณะเดียวกัน แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะออกมาให้คำมั่นในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม และรัฐบาลสหรัฐฯ เอ่ยสัญญาทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อปรับลดราคาสินค้า แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ยังขยับปรับตัวลดลง จนคาดการณ์ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ อาจไม่ให้ผลลัพธ์ใดๆ ที่น่าพึงพอใจ
โดยเกือบ 6 ใน 10 ของชาวอเมริกัน ลงมติไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขณะที่ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีไบเดนก็ร่วงลงหนัก โดยล่าสุดเหลืออยู่เพียง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคม 2021 ซึ่งอยู่ที่ 30%
รายงาน CNN ระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีผลอย่างมากต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขับเคลื่อนโดยกำลังการบริโภคของประชากรในประเทศเป็นหลัก ดังนั้นหากผู้บริโภคไม่มั่นใจที่จะควักเงินจากกระเป๋า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ตามที่คาดหวังไว้
ริชาร์ด เคอร์ติน (Richard Curtin) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง Surveys of Consumers กล่าวว่า ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขณะนี้ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ได้ว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะชะลอการใช้จ่าย ถือเป็นข่าวร้ายของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้นักเศรษฐศาสตร์อีกจำนวนหนึ่งต้องออกมาปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ทีมบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของสถานีโทรทัศน์ CNN ยังได้เผยแพร่บทวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยระบุว่า เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเงินเฟ้อในปัจจุบัน นักเศรษฐศาสร์ทั้งหลายเริ่มมีความมั่นใจมากว่า โอกาสที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% แทนที่จะเพิ่มขึ้นทีละนิดที่ 0.25% ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
หากว่า Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% จริงจะนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2000 ที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยแบบก้าวกระโดดเช่นนี้ โดยการปรับจะมีขึ้นครั้งแรกในช่วงเดือนมีนาคม
นอกจากนี้ สมาชิก Fed หลายราย รวมถึง เจมส์ บูลลาร์ด ประธาน Fed สาขาเซนต์หลุยส์ ที่กล่าวถึงจุดยืนของตนเองว่าอยู่ในสายเหยี่ยว และต้องการให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเต็มจำนวนคือ 1.0% ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ต่อไป
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่ามีความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าธรรมเนียมปฏิบัติที่นิยมที่ 0.25% เพราะรายงานภาวะเงินเฟ้อสูงทำให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยย่อมไม่อาจเกิดผลตามที่คาดกันไว้ อีกทั้ง Fed มีโอกาสที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้ง โดยธนาคารแห่งอเมริกาคาดการณ์ว่า Fed น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 7 ครั้งในปีนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอการเติบโตแบบนิ่มนวล หรือ Soft Landing ได้อย่างดี
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2022/02/11/economy/consumer-sentiment-february-inflation/index.html
- https://edition.cnn.com/2022/02/10/business/fed-inflation-rate-hikes/index.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP