“ประเด็นเรื่องสตรีนั้นมีความสำคัญมาก รัฐอิสลามให้สิทธิสตรีภายใต้กรอบของชารีอะห์ (กฎหมายอิสลาม) พี่สาวน้องสาวของเรา คนของเรา มีสิทธิเหมือนๆ กัน พวกเขาสามารถได้ประโยชน์จากสิทธิของตนเอง พวกเขาสามารถทำกิจกรรมในภาคส่วนต่างๆ และพื้นที่ต่างๆ บนพื้นฐานของกฎระเบียบและข้อบังคับของเรา การศึกษา สุขภาพ และด้านอื่นๆ พวกเขาจะทำงานร่วมกับเรา เคียงบ่าเคียงไหล่กับเรา หากประชาคมระหว่างประเทศมีข้อกังวล เราขอรับรองกับพวกเขาว่าจะไม่เกิดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง แต่แน่นอนว่าอยู่ภายในกรอบที่เรามี ผู้หญิงของเราเป็นมุสลิม พวกเขายังจะมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของชารีอะห์ของเรา”
ข้อความดังกล่าว คือส่วนหนึ่งของถ้อยแถลงที่ ซาบิฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกกลุ่มตาลีบัน แถลงที่กรุงคาบูลเมื่อวานนี้ หลังจากที่สามารถบุกยึดเมืองและโค่นอำนาจรัฐบาลพลเรือนได้สำเร็จ ซึ่งใจความของการแถลงเป็นไปอย่างประนีประนอม และแสดงออกถึงความพยายามปรับตัวเข้าหาประชาคมโลก โดยเฉพาะในประเด็นสิทธิสตรี ที่ตาลีบันให้สัญญาว่าจะให้ความเคารพสิทธิสตรี แต่ต้องเป็นไปภายใต้กรอบกฎหมายชารีอะห์ หรือกฎหมายอิสลาม ซึ่งนานาชาติมีความกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากพฤติการณ์ในอดีตของตาลีบันที่ขึ้นชื่อเรื่องการ ‘กดขี่’ ผู้หญิง ในระหว่างที่ปกครองอัฟกานิสถานช่วงปี 1996-2001
อะไรคือกฎหมายอิสลาม ‘ชารีอะห์ (Sharia)’
‘ชารีอะห์’ แปลว่า ‘ทาง’ คือประมวลข้อปฏิบัติต่างๆ ของกฎหมายศาสนาสำหรับศาสนาอิสลาม ครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลและสาธารณชนในด้านต่างๆ ทั้งการปกครอง เศรษฐกิจ การบริหารธุรกิจ การธนาคาร ระบบการทำสัญญา ความสัมพันธ์ในครอบครัว หลักความสัมพันธ์ทางเพศ หลักการอนามัย และปัญหาสังคม
พื้นฐานของชารีอะห์ มาจากหลักการของศาสนาอิสลามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน และบันทึกชีวิตของศาสดามูฮัมหมัด ประกอบกับหลักนิติศาสตร์ (Jurisprudence) ซึ่งตีความโดยนักกฎหมาย นักบวช และนักการเมืองชาวมุสลิม
ร่างของหลักกฎหมายอิสลามที่นักวิชาการมุสลิมสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยของศาสดามูฮัมหมัดนั้น เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ฟิกห์’ ซึ่งหมายถึง ‘ความเข้าใจ’ และมักใช้แทนด้วยคำว่า ‘ชารีอะห์’
อะไรคือการ ‘เคารพสิทธิสตรีตามกรอบกฎหมายอิสลาม’
หลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้นให้การคุ้มครองต่อเด็กหญิงและสตรีที่ในอดีตถูกมองเป็นเพียงทรัพย์สิน ซึ่งคำสอนของศาสดามูฮัมหมัดและคัมภีร์อัลกุรอานระบุว่า ผู้หญิงนั้นมีสิทธิในการเลือกสามีและทำงานได้
ข้อความในพระคัมภีร์อัลกุรอานระบุว่า ทั้งชายและหญิงต่างถูกสร้างมาจากแก่นสารเดียวกัน บางข้อความระบุไว้ว่า ผู้ชายนั้นเป็น ‘กอวามุน (Qawwamun)’ หรือผู้ปกป้องดูแลผู้หญิง แต่บางข้อความระบุว่า หญิงผู้มีศรัทธานั้นจะเป็นผู้เชื่อฟัง และหากดื้อดึงไม่เชื่อฟัง ผู้ปกป้องชายนั้นสามารถทุบตีเพื่อลงโทษได้
สำหรับกฎหมายชารีอะห์นั้นถูกอ้างอิงให้เป็นแหล่งที่มาของรัฐธรรมนูญในหลายประเทศมุสลิม โดยผู้หญิงนั้นเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ในบทบัญญัติที่เกี่ยวกับครอบครัวหรือสถานะส่วนบุคคล
ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงนั้นไม่มีสิทธิเหมือนหรือเท่ากันกับผู้ชายในหลายเรื่อง เช่น การแต่งงาน การหย่าร้าง และการรับมรดก โดยบางประเทศมุสลิมที่ใช้กฎหมายชารีอะห์เป็นรากฐานรัฐธรรมนูญอย่างเข้มงวด เช่น อิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ล้วนมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรีในด้านต่างๆ ตั้งแต่สิ่งที่ควรสวมใส่ การเดินทาง การขับขี่รถยนต์ และการทำงาน
หนึ่งในแนวทางปฏิบัติสำคัญสำหรับผู้หญิงตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานและกฎหมายชารีอะห์ คือผู้หญิงไม่ควรเปิดเผยความงามต่อชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัว ซึ่งนักกฎหมายอิสลามตัดสินโดยยึดจากข้อความว่า ผู้หญิงต้องปิดผมและใบหน้าเมื่อออกนอกบ้าน
ขณะที่กฎหมายชารีอะห์นั้นให้สิทธิแก่ผู้หญิงในด้านกฎหมายและการเงิน รวมถึงสิทธิในการรับมรดก แต่การทำสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่ต้องมีพยานร่วมด้วยจะให้ค่าต่อผู้หญิงเพียงครึ่งเดียวของผู้ชาย โดยอ้างอิงจากคำสอนในคำภีร์อัลกุรอาน ที่ระบุว่า “และถ้าไม่มีชายสองคน (ว่าง) ก็ให้ (นำ) ชายและหญิงสองคนจากคนที่เจ้ายอมรับมาเป็นพยาน” ซึ่งในส่วนนี้นักวิชาการบางคนโต้แย้งว่าข้อความดังกล่าวไม่ใช่การลดทอนคุณค่าและความน่าเชื่อถือของผู้หญิง เนื่องจากในช่วงเวลาที่เขียนข้อความลงในพระคัมภีร์อัลกุรอานนั้น เป็นเรื่องยากที่ผู้หญิงจะมีประสบการณ์ทำธุรกิจ
ชะตากรรมหญิงอัฟกันใต้การปกครองของตาลีบัน
ข้อสงสัยที่ทั่วโลกตั้งคำถาม คือเป็นไปได้จริงหรือที่ตาลีบันจะเปลี่ยนแนวคิดและให้สิทธิเสรีภาพแก่ผู้หญิงมากกว่าในอดีต
โดยหากย้อนไปในช่วงปี 1996-2001 ที่ตาลีบันเรืองอำนาจนั้น พบว่าชะตากรรมของหญิงชาวอัฟกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างมีชีวิตที่ถูกจำกัดสิทธิด้านต่างๆ เช่น
- ผู้หญิงและเด็กหญิงอายุตั้งแต่ 8 ขวบขึ้นไป จะต้องสวมใส่ ‘บูร์กา’ (Burka) หรือผ้าที่ใส่คลุมเสื้อผ้าชั้นนอก ซึ่งคลุมทั้งร่างกายและใบหน้า
- ต้องมีญาติที่เป็นชายคอยดูแลหากต้องออกนอกบ้าน
- ห้ามสวมรองเท้าส้นสูง
- บ้านที่มีหน้าต่างบนพื้นดินและชั้นหนึ่งต้องทาสีทับ
- ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนระเบียงบ้าน
- ห้ามถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ หรือแสดงภาพผู้หญิงในหนังสือพิมพ์ หนังสือ ร้านค้า หรือในบ้าน
- ชื่อของสถานที่ที่มีชื่อผู้หญิงรวมอยู่ต้องถูกเปลี่ยน
- ห้ามไม่ให้ผู้หญิงปรากฏตัวทางวิทยุ โทรทัศน์ หรืองานรวมตัวในที่สาธารณะ
ซึ่งโทษจากความผิดของผู้หญิงในเรื่องต่างๆ นั้น รุนแรงตั้งแต่เฆี่ยนประจาน ไปจนถึงตัดนิ้วหรือประหารชีวิต เช่น
- ผู้หญิงที่ฝ่าฝืนกฎ เช่น ออกนอกบ้านแม้จะไม่มีญาติผู้ชายให้พาออกไป จะถูกเฆี่ยนตีกลางถนน ในสนามกีฬาหรือศาลากลางจังหวัด
- ผู้หญิงจะถูกลงโทษตัดนิ้วโป้ง เพราะใช้สีทาเล็บ
- ถูกลงโทษปาหินจนตาย หากปฏิเสธจะประกาศความภักดีต่อกลุ่มตาลีบัน
- ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎ อาจถูกดูหมิ่นหรือประจานให้อับอาย ถูกเฆี่ยนตีในที่สาธารณะโดยตำรวจศาสนาของตาลีบัน หรือโทษหนักสุดคือประหารชีวิต
ตาลีบันจะทำตามสัญญาเรื่องสิทธิสตรีไหม?
คำตอบของคำถามนี้คือ ‘อาจจะทำและไม่ทำ’ โดยหลังจากได้รับชัยชนะและกลับคืนสู่อำนาจ ท่าทีของกลุ่มตาลีบันดูจะนุ่มนวลและเปิดรับสังคมโลกมากขึ้น ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเพราะพวกเขาต้องการได้รับการยอมรับจากนานาประเทศให้เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งก่อนหน้านี้ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มตาลีบันเปิดเผยว่า ต้องการระบบปกครองบ้านเมืองแบบอิสลามที่แท้จริงสำหรับอัฟกานิสถาน เพื่อให้การดูแลสิทธิของสตรีและชนพื้นเมืองเป็นไปตามกรอบประเพณีและวัฒนธรรมและกฎระเบียบทางศาสนา
ขณะที่ถ้อยแถลงของโฆษกกลุ่มตาลีบันที่ออกมาหลังได้รับชัยชนะ ยืนยันว่าผู้หญิงอัฟกันจะได้ทำงานและได้เรียนหนังสือถึงระดับมหาวิทยาลัย แต่ยังมีความไม่เชื่อมโยงนักกับสิ่งที่สมาชิกตาลีบันกำลังทำอยู่
โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏรายงานข่าวว่า กลุ่มตาลีบันวางแผนที่จะปิดโรงเรียนสหศึกษาที่มีทั้งชายและหญิงเรียนรวมกัน นอกจากนี้มีรายงานว่านักรบตาลีบันบังคับให้ผู้หญิง 9 คนออกจากการทำงานในธนาคารและกลับไปบ้าน ก่อนจะให้ญาติของพวกเธอที่เป็นชายไปทำงานแทน
ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch เผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้บัญชาการของตาลีบันในพื้นที่ต่างๆ มักจะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดโดยอ้างหลักกฎหมายอิสลาม เช่น ห้ามผู้หญิงไปสถานพยาบาลที่ผู้ชายให้บริการ และสั่งปิดโรงเรียนสำหรับผู้หญิงทั้งหมด รวมไปถึงโรงเรียนระดับชั้นประถม ผู้ที่ฝ่าฝืนล้วนต้องเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรง
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทั่วโลกรับรู้และมองเห็นมาโดยตลอด แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่ากลุ่มตาลีบันจะเปลี่ยนท่าทีต่อนโยบายสิทธิสตรี หรือเปิดกว้างให้ผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกับประเทศมุสลิมต่างๆ ได้มากแค่ไหน
ภาพ: Photo by Paula Bronstein / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/world-asia-58249952
- https://www.nprillinois.org/2021-08-17/big-questions-loom-about-how-the-taliban-will-treat-women-and-girls
- https://www.aljazeera.com/news/2021/8/17/transcript-of-talibans-first-press-conference-in-kabul
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-08-17/sharia-law-for-afghan-women-what-that-might-be-quicktake?sref=CVqPBMVg
- https://news.sky.com/story/afghanistan-what-is-sharia-law-and-how-has-the-taliban-interpreted-it-12383974
- https://apnews.com/article/afghanistan-taliban-kabul-1d4b052ccef113adc8dc94f965ff23c7
- https://en.wikipedia.org/wiki/Treatment_of_women_by_the_Taliban
- https://www.hrw.org/news/2021/08/17/fragility-womens-rights-afghanistan