เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research ปรับเรตติ้งสำหรับ บมจ.อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) (AEONTS) ขึ้นจาก Neutral สู่ Outperform เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาแล้ว 19% YTD และคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวใน 2H67
ใน 1QFY67 คาดว่า Credit Cost จะเพิ่มขึ้น 270 bps QoQ (แต่ลดลง 61 bps YoY) สู่ 8.31% ซึ่งเป็นผลมาจาก
1. การปรับตัวกลับสู่ระดับปกติจากระดับต่ำผิดปกติใน 4QFY66 ซึ่งได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้จากค้างชำระ 28 วัน เป็น 30 วัน และ 2. การปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% ในปี 2566 สู่ 8% ในปี 2567
และคาดว่า Credit Cost จะอยู่ในระดับสูงใน 1HFY67 และจะลดลงภายหลังใน 2HFY67 เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งคาดการณ์ตามหลักความระมัดระวังว่า Credit Cost จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 8 bps สู่ 7.9% ในปี FY2567 และ 10 bps สู่ 8% ในปี FY2568 ซึ่งเป็นผลมาจากการทยอยปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% ของยอดเงินค้างชำระในปี 2566 เป็น 8% ในปี 2567 และ 10% ในปี 2568
บริษัทได้ตั้งสำรอง Management Overlay ไว้แล้ว 120 ล้านบาท เพื่อรองรับการปรับเพิ่มอัตราชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตสู่ 8% ในปี 2567 และ 200 ล้านบาท เพื่อรองรับการปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตสู่ 10% ในปี 2568
สำหรับ NIM ใน 1QFY67 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น QoQ (อัตราผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อดีขึ้นจากการมีสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลที่สูงขึ้น) แต่จะลดลง YoY (ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น) สำหรับ 2QFY67 คาดว่ามาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (PD) ของ ธปท. จะส่งผลกระทบต่อ NIM ของ AEONTS เล็กน้อย
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ PD จะได้รับทางเลือกในการเปลี่ยนสินเชื่อหมุนเวียนมาเป็นแบบมีระยะเวลา (Term Loan) และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี (เทียบกับอัตราเพดาน 25%) AEONTS คาดว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยของบริษัทราว 4-5 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ในปี FY2567 InnovestX Research คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้น 25 bps มาอยู่ที่ 3.6% และ NIM จะลดลง 36 bps
ด้านสินเชื่อ AEONTS คาดว่าสินเชื่อจะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ ใน 1QFY67 เนื่องจากการเร่งปล่อยสินเชื่อใหม่จะถูกหักล้างโดยการชำระคืนสินเชื่อบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำจาก 5% ในปี 2566 เป็น 8% ในปี 2567 AEONTS ยังคงเป้าการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 5-7% ในปี FY2567 (เทียบกับ -3% ในปี FY2566) ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการที่ 5%
ใน 1QFY67 AEONTS พบว่าหนี้สูญได้รับคืนเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีการขาย NPL AEONTS คาดว่าหนี้สูญได้รับคืนและกำไรจากการขาย NPL จะเพิ่มขึ้น 20% ในปี FY2567 บริษัทวางแผนขาย NPL สองครั้งในปี FY2567 (2QFY67 และ 4QFY67) เทียบกับเพียงครั้งเดียวในปี FY2566
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคา AEONTS ปรับลง 17.98% สู่ระดับ 130.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 5.83% สู่ระดับ 1,298.29 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี FY2567:
สำหรับ 1QFY67 คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 19%YoY (Credit Cost ลดลง, Non-NII สูงขึ้น) แต่จะลดลง 33%QoQ (Credit Cost สูงขึ้น) สู่ 734 ล้านบาท และคาดว่ากำไรปี FY2567 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโต 5% NIM ที่แคบลง 36 bps อันเป็นผลมาจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและอัตราผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อที่ลดลง หนี้สูญได้รับคืนและกำไรจากการขาย NPL ที่เติบโต 20% และ Credit Cost ที่เพิ่มขึ้น 8 bps
InnovestX Research ปรับเรตติ้งสำหรับ AEONTS ขึ้นจาก Neutral สู่ Outperform โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 170 บาทต่อหุ้น (อิงกับ P/BV ที่ 1.6 เท่า ซึ่งคำนวณจาก ROE ระยะยาวที่ 13% Cost of Equity ที่ 8.86% และการเติบโตระยะยาวที่ 2%) เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาแล้ว 19% YTD และเชื่อว่า Valuation ปัจจุบัน (P/E 9.8 เท่า และ P/BV 1.2 เท่า) สะท้อนปัจจัยลบจากการทยอยปรับเพิ่มอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตและมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (PD) ไปเรียบร้อยแล้ว
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง, ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบจากมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนของ ธปท. และความเสี่ยง ESG ด้านการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct)