×

หุ้นกลุ่มธนาคาร – ได้รับแรงกดดันจาก NIM ที่มีแนวโน้มหดตัวลง

25.10.2024
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

 

ใน 3Q67 กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1%QoQ และ 7%YoY เป็นไปตามที่คาด ผลประกอบการ 3Q67 ของกลุ่มธนาคารโดยรวมสะท้อนถึง NPL ไหลเข้าและ Credit Cost ที่ลดลง, NIM ในระดับทรงตัว, สินเชื่อที่หดตัวลง, Non-NII ที่ดีขึ้นจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่สูงขึ้น

 

NPL ไหลเข้าของกลุ่มธนาคารชะลอตัวลงใน 3Q67 Credit Cost ของกลุ่มธนาคารลดลง 11 bps QoQ (ลดลง 1 bps YoY) ใน 3Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรอง Management Overlay น้อยลง สำหรับ 4Q67 คาดว่า Credit Cost ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ โดยมีทิศทางที่แตกต่างกันในแต่ละธนาคาร (ลดลงสำหรับ BBL และ SCB, เพิ่มขึ้นสำหรับ KTB, KBANK และ KKP, คงที่สำหรับ BAY, TTB และ TISCO)

 

โดยคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่ (ยกเว้น TISCO) จะเห็น Credit Cost ลดลงในปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรอง Management Overlay น้อยลง NPL ไหลเข้าที่ลดลง (จากนโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น และการปรับลดอัตราดอกเบี้ย) และการเคลียร์งบดุลที่น้อยลง TISCO คาดว่า Credit Cost จะเพิ่มขึ้นกลับสู่ระดับปกติหลังจาก LLR ส่วนเกินหมดลง

 

ใน 3Q67 NIM ของกลุ่มธนาคารอยู่ในระดับทรงตัว QoQ (เพิ่มขึ้นที่ธนาคารส่วนใหญ่, ลดลงที่ KBANK และ BAY) ใน 4Q67 NIM จะได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ในเดือนตุลาคม

 

ธนาคารหลายแห่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง แต่คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้เท่าเดิม KBANK, SCB, TTB และ BAY ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง 12.5-25 bps (12.5 bps สำหรับ MLR) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน

 

ในขณะที่ BBL แตกต่างจากธนาคารอื่นๆ ตรงที่ปรับลดทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (20 bps ฐานสำหรับ MLR และ MOR และ 5 bps สำหรับ MRR) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (10 bps สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และ 20 bps สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ) ดังนั้นจึงคาดว่า BBL จะมี NIM หดตัวลงน้อยกว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่นๆ

 

เมื่อรวมโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps ใน 4Q67 (เดือนตุลาคมและธันวาคม) และ 50 bps ในปี 2568 เข้ามา InnovestX Research คาดว่า NIM ของกลุ่มธนาคารจะลดลง 11 bps QoQ ใน 4Q67 และ 16 bps ในปี 2568

 

ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการ NIM ปี 2568 ของธนาคารต่างๆ ลดลง 1-7 bps เพื่อสะท้อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงในอัตราไม่เท่ากัน

 

สินเชื่อของกลุ่มธนาคารหดตัวลง 2%QoQ, 3%YoY และ 2%YTD การหดตัวเกิดจากสินเชื่อทั้ง 3 กลุ่ม ธนาคารอยู่ในโหมดระมัดระวังมากขึ้น โดยใช้นโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ธนาคารต่างๆ ปรับเปลี่ยนสัดส่วนของสินเชื่อ โดยหันมาปล่อยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อจำนำทะเบียนมากขึ้น

 

ทั้งนี้ ปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อของกลุ่มธนาคารลดลงมาอยู่ที่ -2% จาก 2% ในปี 2567 และ 1% จาก 3% ในปี 2568 เนื่องจากธนาคารต่างๆ มีแนวโน้มที่จะยังคงท่าทีระมัดระวัง และเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่ทั่วถึง

 

ใน 3Q67 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1%QoQ และ 15%YoY โดยรายได้ค่าธรรมเนียมฟื้นตัว (เพิ่มขึ้น 3%QoQ และ 4%YoY) หลักๆ ได้แรงหนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับตลาดทุน

 

InnovestX Research คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 4Q67 โดยได้แรงหนุนหลักจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนและการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) สำหรับปี 2568 คาดว่า Non-NII ของกลุ่มธนาคารจะเติบโตเล็กน้อยที่ 2% และรายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโต 3%

 

อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึ้นใน 3Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่อ่อนแอลงและ OPEX ที่สูงขึ้น ซึ่งคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลใน 4Q67 สำหรับปี 2568 คาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่อ่อนแอลงแม้ว่า OPEX จะลดลง

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SET BANK) ปรับลง 2.23% และ BBL ปรับลง 4.14% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.36%

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2567-2568:

 

InnovestX Research คาดว่ากำไร 4Q67 จะลดลง QoQ (NIM หดตัวลง และ OPEX เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล) แต่จะเพิ่มขึ้น YoY (ECL ลดลง) สำหรับปี 2568 คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะอยู่ในระดับค่อนข้างทรงตัว โดยเกิดจากการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว, NIM ที่หดตัวลง, Credit Cost ที่ลดลง, Non-NII ที่เติบโตเล็กน้อย และ OPEX ที่ลดลง

 

กลยุทธ์การลงทุนยังคงเลือก BBL เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก Valuation ถูกที่สุด และมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด ขณะที่ถอด KTB ออกจากการเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารต่างๆ จะพยายามดิ้นรนรักษากำไรเอาไว้ภายใต้สถานการณ์ที่ NIM มีแนวโน้มหดตัวลง โดยมองว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นเพียงอย่างเดียวสำหรับกลุ่มธนาคาร

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง, ความเสี่ยงด้าน NIM จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และความเสี่ยงด้าน ESG จากการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม

 

อ่านบทวิเคราะห์ InnovestX Research: หุ้นกลุ่มธนาคาร – ได้รับแรงกดดันจาก NIM ที่มีแนวโน้มหดตัวลง เพิ่มเติมได้ที่นี่:
https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/industry-analysis/industry-analysis/banking-20241024

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising