เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 1.197 หมื่นล้านบาท (ลดลง 5%QoQ, เพิ่มขึ้น 6%YoY) เป็นไปตามที่ Consensus คาด แต่สูงกว่า InnovestX Research คาด 13% หลักๆ เกิดจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านทางกำไรหรือขาดทุน (FVTPL)
ใน 3Q267 มีรายการที่สำคัญ ดังนี้
- คุณภาพสินทรัพย์: NPL เพิ่มขึ้น 1%QoQ โดยอัตราส่วน NPL เพิ่มขึ้น 10 bps QoQ ใน 3Q67 ถ้านำยอดตัดหนี้สูญบวกกลับเข้ามา NPL จะเพิ่มขึ้น 14%QoQ ใน 3Q67 เทียบกับ 12%QoQ ใน 2Q67 Credit Cost เพิ่มขึ้น 1 bps QoQ (ลดลง 20 bps YoY) มาอยู่ที่ 1.89% ใน 3Q67 LLR Coverage ลดลงมาอยู่ที่ 139% จาก 141% ใน 2Q67 โดยยังคงประมาณการ Credit Cost ไว้ที่ 1.9% (ลดลง 18 bps) ในปี 2567 KBANK ยืนยันว่า Credit Cost จะลดลงกลับสู่ระดับปกติที่ 1.4-1.6% ในปี 2568
InnovestX Research ปรับประมาณการ Credit Cost ปี 2568 ลดลง 10 bps สู่ 1.6% (ลดลง 30 bps)
- การเติบโตของสินเชื่อลดลง 2.2%QoQ, 0.2%YoY และ 2.3%YTD การหดตัวของสินเชื่อเกิดจากกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และลูกค้ารายย่อย ทั้งนี้ ปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2567 ลดลงจากเพิ่มขึ้น 1% สู่ลดลง 2%
- NIM ลดลง 5 bps QoQ (ลดลง 14 bps YoY) ใน 3Q67 อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ลดลง 10 bps QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการทำธุรกรรมชั่วคราวที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกองทุนกองหนึ่ง ต้นทุนทางการเงินลดลง 6 bps QoQ
- Non-NII ลดลง 11%QoQ (เพิ่มขึ้น 26%YoY) ใน 3Q67 หลักๆ เกิดจากรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลง รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 4%QoQ (เพิ่มขึ้น 8%YoY) จากการบริหารความมั่งคั่ง
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึ้น 91 bps QoQ (เพิ่มขึ้น 212 bps YoY) สู่ 44.49% OPEX ลดลง 2%QoQ (เพิ่มขึ้น 8%YoY)
กระทบอย่างไร:
หลังรายงานผลประกอบการ 3Q67 ราคาหุ้น KBANK ปรับลง 2.33% อยู่ที่ 146.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.01% อยู่ที่ 1,473.62 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรของ KBANK เพิ่มขึ้น 9% สำหรับปี 2567 (หลักๆ เกิดจากกำไร FVTPL) และ 10% สำหรับปี 2568 (หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการ Credit Cost ลดลง) กำไร 9M67 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรปี 2567 และคาดว่ากำไร 4Q67 จะลดลง QoQ (NIM แคบลง และ OPEX เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล) แต่จะเพิ่มขึ้น YoY (ECL ลดลง)
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 6% โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโต 2% NIM ที่แคบลง 10 bps Credit Cost ที่ลดลง 30 bps Non-NII ที่ลดลง 2% (กำไร FVTPL ลดลง) และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่สูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนยังคงคำแนะนำ Neutral สำหรับ KBANK อย่างไรก็ดี ได้ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นสู่ 160 บาทต่อหุ้น (อิงกับ PBV ปี 2568 ที่ 0.64 เท่า) เนื่องจากปรับ Valuation เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อสะท้อน ROE ที่สูงขึ้นจาก Credit Cost ที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติในปี 2568
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว, การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง รวมทั้งความเสี่ยงด้าน ESG จากความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct)