หลังถูกโจมตีอย่างหนักว่าไร้ศีลธรรมกรณีพรากเด็กๆ จากอ้อมอกพ่อแม่ที่ลักลอบอพยพเข้าสหรัฐฯ จากชายแดนเม็กซิโก ล่าสุดโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนใจและยอมลงนามในคำสั่งพิเศษอนุญาตให้ครอบครัวผู้อพยพผิดกฎหมายสามารถอยู่ด้วยกันได้อีกครั้ง
ในพิธีลงนามคำสั่งประธานาธิบดี ณ ห้องทำงานรูปไข่ อาคารทำเนียบขาว ทรัมป์กล่าวว่า “ผมพิจารณาเห็นว่ามันคือคำสั่งที่สำคัญมาก เพราะเป็นการให้สมาชิกครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกคนเห็นว่าเรามีอำนาจมาก มีพรมแดนที่เข้มแข็ง และที่สำคัญความมั่นคงในบริเวณชายแดนจะมีอยู่เท่าเดิม แม้ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนแต่ก่อนก็ตาม”
ทรัมป์ ซึ่งถูกขนาบโดย ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี และ เคิร์สต์เจน นีลเซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ กล่าวเสริมว่า “ผมไม่ชอบสายตาหรือความรู้สึกของครอบครัวเวลาที่ถูกพลัดพราก”
แต่เขายืนยันว่าจะยังคงผลักดันมาตรการที่เข้มงวดกับผู้อพยพต่อไป โดยในหนังสือคำสั่งพิเศษฉบับนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำตัวผู้อพยพทุกคนที่ลักลอบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายมาดำเนินคดีอาญาขั้นเด็ดขาด ทว่าเจ้าหน้าที่จะไม่จับเด็กแยกจากพ่อแม่ แต่ให้ขังอยู่ด้วยกันในระหว่างเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล
ทรัมป์ยังสั่งให้ เจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยื่นความจำนงให้ศาลพิจารณาแก้ไขคำพิพากษาปี 1997 หรือที่เรียกว่า ‘Flores’ ซึ่งเป็นคำสั่งห้ามกักขังลูกๆ ของผู้อพยพเกินกว่า 20 วัน หากมีการแก้ไข เจ้าหน้าที่จะสามารถควบคุมตัวพ่อแม่และเด็กๆ ไว้ด้วยกันจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
อย่างไรก็ตามหากศาลปฏิเสธคำขอ คำสั่งของทรัมป์จะถูกท้าทายด้วยข้อกฎหมาย จากนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิผู้อพยพซึ่งเป็นตัวแทนของบรรดาครอบครัวที่ถูกกักขังในสหรัฐฯ
ด้าน เคต วอยจต์ รองผู้อำนวยการฝ่ายรัฐบาลสัมพันธ์แห่งสมาคมทนายความผู้อพยพอเมริกันเห็นว่า คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ เพราะเป็นการสั่งกักขังเด็กร่วมกับครอบครัว แทนการแยกเด็กจากพ่อแม่ ซึ่งไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เนื่องจากนโยบายแข็งกร้าวของทรัมป์ยังมีผลบังคับใช้ ซึ่งนั่นเป็นรากเหง้าของวิกฤตที่ทำให้ครอบครัวแตกแยกและปัญหานี้ก็ก่อโดยคณะบริหารของทรัมป์
ก่อนที่ทรัมป์จะกลับลำ เขาโยนความรับผิดชอบให้สภาคองเกรส โดยระบุว่าเป็นผู้เดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้ทรัมป์ยังตำหนิสมาชิกพรรคเดโมแครตที่ทำให้ปัญหานี้ยุ่งยากขึ้นอีกด้วย
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นีลเซนบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “รัฐสภาและศาลได้สร้างปัญหานี้ขึ้นร่วมกัน แต่สภาคองเกรสสามารถแก้ไขได้ ทว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้น เราจะบังคับกฎหมายให้เป็นไปตามตัวบททุกมาตราเพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา”
ขณะที่ เซสชันส์ และ จอห์น เคลลี เสนาธิการทำเนียบขาวก็ออกมากล่าวปกป้องการตัดสินใจของทรัมป์เช่นกันว่า นโยบายนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะสกัดผู้อพยพไม่ให้ไหลทะลักเข้าสหรัฐฯ ได้
ทั้งนี้มีเด็กและเยาวชนกว่า 2,300 คนที่ถูกจับแยกจากพ่อแม่ที่บริเวณชายแดนติดกับเม็กซิโกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดกระแสวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐฯ ไปทั่วโลก และทำให้นักกิจกรรมต้องออกมาเรียกร้องเรื่องสิทธิมนุษยชน
อ้างอิง: