มองผ่านเลนส์ ‘ธนาคารยูโอบี’ ในฐานะสถาบันการเงินระดับภูมิภาคที่ส่งเสริมและสนับสนุนภาคธุรกิจให้ดำเนินธุรกิจข้ามชาติมาหลายทศวรรษ พบว่า อาเซียนจะกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนของเงินลงทุนจากต่างชาติ เพราะแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนล้วนมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ประชากรที่ยังเติบโตและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ประกอบกับความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน
เมื่อเร็วๆ นี้ THE STANDARD WEALTH มีโอกาสพูดคุยกับ แซม ชอง กรรมการผู้จัดการ หน่วยงานส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศ กลุ่มธนาคารยูโอบี ซึ่งเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า กลุ่มประเทศอาเซียนจะกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ ด้วยปัจจัยบวกที่โดดเด่นคือจำนวนประชากรในประเทศอาเซียนที่คาดว่าเพิ่มเป็น 700 ล้านคนในปี 2030 ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการภูมิประเทศที่ห่างไกลจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานของภาคการผลิตทั่วโลก
แซมกล่าวว่า ตั้งแต่มี AEC (ASEAN Economic Community) การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้าสู่ ASEAN เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีส่วนแบ่งของ ASEAN ในการไหลเวียนของ FDI ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เป็น 17% ตามรายงานการลงทุนโลก
โดยปีที่แล้ว ASEAN ได้รับ FDI เข้ามาถึง 2.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ท่ามกลางแนวโน้ม FDI ทั่วโลกกำลังลดลง ตัวเลขนี้สะท้อนว่าโลกกำลังหันมาสนใจเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้คือ บริษัทต่างๆ ต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของตนหลังจากโควิด และเนื่องจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
ทั้งนี้ UOB ได้จัดตั้งหน่วยงานให้คำปรึกษาด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อช่วยเหลือบริษัทต่างชาติในการลงทุนใน ASEAN โดยให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตลาดและกระบวนการลงทุน รวมถึงได้สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรธุรกิจใน ASEAN เพื่อเข้าใจความต้องการของรัฐบาลและสนับสนุนการลงทุน
โดยตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยงานนี้ UOB ได้ช่วยเหลือบริษัทกว่า 4,500 แห่งในการขยายธุรกิจเข้าสู่ ASEAN
และล่าสุดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2024 ธนาคารยูโอบีได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับลงทุนยะโฮร์ (Invest Johor) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการลงทุนของรัฐมาเลเซีย เพื่อขับเคลื่อนโอกาสในการลงทุนเข้าสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (SEZ) ที่กำลังจะเกิดขึ้น
และในวันเดียวกันยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับที่ 2 กับ Lingang Group ของจีน ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการสวนอุตสาหกรรม โดยมีผู้เช่ามากกว่า 18,000 รายทั่วประเทศจีน ภายใต้ความร่วมมือนี้ ธนาคารยูโอบีจะช่วยสนับสนุน Lingang Group ในการขยายจำนวนผู้เช่าที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
บรรยายภาพ: งาน ASEAN Conference 2024 จัดขึ้นในธีม ‘Reimagining ASEAN for a Sustainable Tomorrow’ ซึ่งธนาคารยูโอบีเป็นพาร์ตเนอร์หลักของงานนี้ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 8 (เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2015)
‘อาเซียน’ เป็นทั้งแหล่งผลิตและตลาดสำคัญ
แซมกล่าวเพิ่มว่า ประชากรวัยหนุ่มสาวในอาเซียนจะดึงดูด FDI ได้มากขึ้น เนื่องจากจำนวนประชากรหลายร้อยล้านคนนี้สะท้อนถึงกำลังซื้อมหาศาลที่รออยู่ ดังนั้น FDI ที่เข้ามาลงทุนในภาคการผลิต ล้วนคาดหวังถึงการขายสินค้าภายในประเทศอาเซียนด้วย เท่ากับว่าอาเซียนเป็นตลาดปลายทางด้วยตัวมันเอง
“เมื่อก่อนผู้ลงทุนหรือภาคธุรกิจจะมองอาเซียนเพราะว่าแรงงานที่ราคาไม่สูง แต่ในปัจจุบันผู้เข้ามาลงทุนเริ่มหันมาสนใจจะขายสินค้าในอาเซียนได้อย่างไร” แซมกล่าว และเสริมว่า การที่เราได้เห็นแบรนด์จากญี่ปุ่นจำนวนมากมาเปิดตลาดหรือเปิดสาขาในอาเซียนมากขึ้น ก็เป็นอีกเสียงสะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่ออาเซียน
เขากล่าวว่า เมื่อพิจารณาความสนใจของ FDI จะเห็นว่าส่วนใหญ่มองแหล่งลงทุนที่สร้างการเติบโตในระยะยาวและยั่งยืน โดยเมื่อ FDI เข้ามาในประเทศหนึ่งพวกเขามองไปที่ 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้า และดูที่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของภูมิภาค เช่นเดียวกับประเทศที่พวกเขาลงทุน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการไหลเข้าของ FDI ในปัจจุบันยังไม่สมดุลนัก เพราะ FDI ทั่วโลกที่ไหลเข้าสู่อาเซียนนั้นมีประมาณ 70% (จาก 2.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือราว 1.60 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลเข้าสู่สิงคโปร์ ดังนั้นสิงคโปร์จึงมีบทบาทสำคัญมากในฐานะศูนย์กลางหรือสำนักงานใหญ่ จากนั้นจึงกระจายไปลงทุนในภาคการผลิตในประเทศอาเซียนอื่นๆ
“ตัวอย่างเช่น เมื่อธนาคารทำงานร่วมกับประเทศไทย เรามาดูกันว่าเราจะสนับสนุนให้ FDI บางส่วนที่ใช้สิงคโปร์เป็นจุดเริ่มต้นลงทุน เชื่อมโยงเข้าสู่ประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไรบ้าง เพราะไทยจะมีความสามารถ ส่วนธนาคารก็มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งในสิงคโปร์ ในขณะเดียวกัน เราก็มีเครือข่ายธนาคารที่กว้างขวางในประเทศไทยด้วย ดังนั้นการเชื่อมต่อคือจุดแข็งของเราอย่างแท้จริง”
‘อาเซียนร่วมใจ’ ไม้ตายสำคัญ
แซมกล่าวอีกว่า เอกลักษณ์ของอาเซียนคือการเป็นภูมิภาคที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ หากมองทั้งโลกตอนนี้เป็นภูมิภาคอื่นๆ ที่มีจำนวนประชากรน้อยมาก แต่จำนวนประชากรในอาเซียนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสูงถึง 700 ล้านคนภายในปี 2030 และครัวเรือนรายได้ปานกลางที่เพิ่มขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยผลักดันให้ FDI มากขึ้น
“แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ อาเซียนมีความน่าอภิรมย์มาก ทุกประเทศมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง”
โดย UOB หวังว่าจะได้เห็นการพัฒนาต่อไปของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เนื่องจากประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรคาดหวังการขับเคลื่อนการเติบโตจะเป็นเรื่องง่าย แต่การมี AEC ช่วยดึงทุกประเทศมารวมกันภายใต้แพลตฟอร์มเดียว เพื่อดำเนินการบูรณาการทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกต่อไปในจังหวะที่ทุกประเทศได้รับอานิสงส์
อีกปัจจัยที่ทำให้อาเซียนเป็นจุดดึงดูด FDI คือ RCEP หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าอาเซียนตั้งใจที่จะสนับสนุนลัทธิพหุภาคีซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าเราเปิดกว้าง เราส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วน
มองไทย EV และ PCB โดดเด่น
แซมเล่าเพิ่มว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้พบกับ นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยได้อัปเดตเกี่ยวกับ FDI ที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีอย่างมาก ในไตรมาสแรกของปีนี้ มูลค่าการลงทุนของ FDI เติบโตมากกว่า 30% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ธนาคารยูโอบีได้รวบรวมไว้ โดยอุตสาหกรรมที่โดดเด่นก็คือ PCB
“PCB ทำได้ดีมาก ประเทศไทยมีจุดแข็งในด้านแรงงานทักษะสูงและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมที่ได้รับการพัฒนาอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมธุรกิจ PCB ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากของโลก และแน่นอนว่ารวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะ EV ที่ประเทศไทยโดดเด่นอย่างมาก”