หากกล่าวถึงห้างสรรพสินค้าที่คุ้นเคยมาอย่างยาวนาน คงไม่มีใครไม่รู้จักห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง ‘บิ๊กซี’ ภายใต้การบริหารของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ซึ่งความยิ่งใหญ่ของ BJC ก็เรียงร้อยมานานถึง 142 ปี
ความยิ่งใหญ่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) ในฐานะบริษัทที่นำเข้าสินค้าและบริการในยุคแรกๆ ของประเทศไทย จนปัจจุบันกลายเป็นอาณาจักรที่มีสินทรัพย์มูลค่ากว่า 339 ล้านบาท
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ธุรกิจปัจจุบันของ BJC ไม่ได้จำกัดเพียงธุรกิจในประเทศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั่วภูมิภาคเอเชีย ด้วยจิ๊กซอว์ธุรกิจที่ตอบสนองได้ทุกความต้องการ รวมถึงนโยบายการบริหารที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน
ความเป็นหนึ่งในหลากหลายด้าน ทำให้ BJC ติดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) กลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ด้วยคะแนนสูงสุดของโลก (Top 1%) ที่ 92/100 โดย S&P Global ซึ่งนับเป็นคะแนนสูงสุดตั้งแต่มีการประเมินมา ภายใต้อุตสาหกรรม Food & Staples Retailing
ปูพื้นความแข็งแกร่งด้วยโครงสร้างพื้นฐาน
ในปี 2023 BJC กวาดรายได้รวมกว่า 1.68 แสนล้านบาท กำไรสุทธิราว 4.8 พันล้านบาท พร้อมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง เช่น
- รถบรรทุกกว่า 2,100 คัน
- การลงทุนสร้างคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าทั่วภูมิภาค ขนาดรวม 321,000 ตารางเมตร
ทั้งหมดเพื่อให้การจัดส่งสินค้ามีความรวดเร็วและปลอดภัย สามารถกระจายสินค้าที่ครอบคลุมกว่า 319 แบรนด์ มากกว่า 25 ประเทศ ผ่านการกระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกและร้านค้าแบบดั้งเดิมมากกว่า 225,000 แห่งทั่วภูมิภาค และสาขาบิ๊กซีและพันธมิตรมากกว่า 9,700 แห่งทั่วภูมิภาค ทั้งไทย เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และฮ่องกง
กลยุทธ์เติบโตหลายทาง สร้างความยั่งยืนครอบคลุมทุกห่วงโซ่
แม้จะเป็นที่รู้จักในนามเจ้าของธุรกิจรีเทลขนาดใหญ่ ทว่า BJC ก็มีความโดดเด่นในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น
- กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์
ผู้นำการผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม และพลาสติก โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตแก้วอันดับหนึ่งในอาเซียน ด้วยกำลังการผลิต 4,653 ล้านขวดต่อปี และผู้ผลิตกระป๋องอะลูมิเนียมอันดับหนึ่งในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 5,600 ล้านกระป๋องต่อปี
- กลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภค
ผู้นำด้านการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในประเทศไทย ดำเนินการผลิต การตลาด และจัดจำหน่ายสำหรับผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค และให้บริการสำหรับทั้งแบรนด์ที่เป็นเจ้าของเองและแบรนด์ของ 3rd Party โดยแบรนด์ชั้นนำของบริษัทที่เป็นที่รู้จักดีสำหรับผู้บริโภคคือ ทิชชูเซลล็อกซ์ (Cellox), ทิชชูซิลค์ (Zilk), กระดาษอเนกประสงค์แม๊กซ์โม่ (Maxmo), สบู่นกแก้ว (Parrot), ขนมมันฝรั่งทอดเทสโต (Tasto) และข้าวญี่ปุ่นอบกรอบโดโซะ (DOZO) นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำการผลิตและจัดจำหน่ายเต้าหู้สดอันดับ 1 ในประเทศเวียดนาม พร้อมด้วยประสบการณ์อันยาวนานมามากกว่า 18 ปี
- กลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิค
ดำเนินการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการด้านการดูแลสุขภาพทั้งเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ จากแบรนด์นานาชาติที่มีชื่อเสียง โดยเป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายอันดับ 1 ในประเทศไทย ในสินค้า Botulinum Toxin (Botox) จากประเทศเกาหลี เครื่องแมมโมแกรม และเครื่องเอ็กซเรย์ พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์กว่า 6,000 ชิ้นในปี 2566 ให้กับโรงพยาบาลและคลินิกทั่วประเทศมาแล้ว นอกจากนั้น ยังมีสินค้าเฉพาะทางอื่นๆ เช่น วัตถุดิบทำเบเกอรี อุปกรณ์เคมีภัณฑ์ วัตถุดิบทำเครื่องสำอาง ฯลฯ ที่เป็นหนึ่งในอาวุธหลักเช่นกัน
- กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่
ซึ่งมีพระเอกคือ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ชั้นนำของประเทศไทย ที่นำเสนอสินค้าหลากหลายทั้ง Private Brand และ 3rd Party ที่มีคุณภาพ ผ่านช่องทางหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชัน Big C PLUS, Big C Online และ Big C Call Chat Shop พร้อมด้วยบริการที่ยอดเยี่ยมและความสะดวกสบายแบบครบวงจร โดยปี 2566
- กระจายสินค้าผ่านสาขาบิ๊กซีและโดนใจหลายรูปแบบ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ครอบคลุมกว่า 8,100 แห่งทั่วไทย นอกจากนี้ ยังมีตลาดสด 8 แห่ง, ร้านขายยาเพรียวและสิริฟาร์มารวมกัน 144 แห่ง, ร้านกาแฟวาวี 46 แห่ง และร้านหนังสือ Asia Books 64 แห่ง ซึ่งเป็นผู้นำอันดับ 1 ในการจัดจำหน่ายหนังสือและนิตยสารภาษาอังกฤษในประเทศไทย
- เวียดนามมี MM Mega Market 29 แห่ง ซึ่งเป็นผู้นำอันดับ 1 Cash & Carry ในเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีร้านสะดวกซื้อ B’s mart 71 แห่ง และโดนใจ หรือ Gia Tot 1,143 แห่ง
- กัมพูชามีบิ๊กซีไฮเปอร์ฟู้ดเพลสและบิ๊กซีมินิรวมกันกว่า 22 สาขา
- สปป.ลาว มีบิ๊กซีมินิ 70 สาขา
- ฮ่องกงมีบิ๊กซี 25 สาขา
ปัจจุบัน อาณาจักร BJC ยังคงมุ่งมั่นขยายตัวและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและการค้าปลีกทั้งในประเทศไทยและระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ยังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทักษะของบุคลากร เพื่อสร้างความยั่งยืนและการเติบโตในอนาคต และด้วยความสามารถในการรับมือกับความท้าทายและการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง BJC จึงยังคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคเอเชียอย่างไม่หยุดยั้ง