×

‘พิชัย’ ชี้ หากหุ้นไทยบวก 200 จุด จะช่วยให้คนไทยมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น

27.08.2024
  • LOADING...
พิชัย ชุณหวชิร

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนฟื้น หุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพที่นิ่ง แม้วอลุ่มเทรดลด แต่เชื่อเป็นวอลุ่มจริงที่เน้นลงทุนระยะกลางถึงยาว มองหน่วยงานกำกับแก้ไขปัญหา และพยายามปิดจุดอ่อนได้ดีขึ้น

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้เริ่มทยอยฟื้นตัวดีขึ้น เกิดจากการที่นักลงทุนกับนักวิเคราะห์ได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยมีการวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกัน

 

ขณะที่นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน แม้วอลุ่มการซื้อ-ขายในตลาดหุ้นไทยจะหายไป แต่ไม่ได้สร้างความตระหนกให้กับนักลงทุน เพราะวอลุ่มซื้อ-ขายที่เหลืออยู่ปัจจุบันเป็นวอลุ่มการซื้อ-ขายที่แท้จริงสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งสะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพที่นิ่ง ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นตามมา รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลตลาดทุน แก้ไขปัญหาและพยายามปิดจุดอ่อนที่เกิดขึ้นในอดีตได้ดี

 

“ผมแอบคำนวณคร่าวๆ หากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,800 จุด ตลาดหุ้นไทยจะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปอยู่ที่ประมาณ 22-23 ล้านล้านบาท โดยทุกๆ ดัชนีที่ปรับขึ้นราว 100 จุด จะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นราว1.3-1.4 ล้านล้านบาท โดยตอนนี้ดัชนี Scale Down ลงมาที่ระดับประมาณ 1,300 จุด หรือ 1,300 จุดต้นๆ หากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้ 100 จุด คาดว่าจะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นได้ราว 1.2-1.3 ล้านล้านบาท หรือหากปรับขึ้น 200 จุด ก็จะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นราว 2.5 ล้านล้านบาท ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับนักลงทุนที่ถือหุ้นไทยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ลงทุน ซึ่งจะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นทันที” พิชัยกล่าว

 

โดยวานนี้ (26 สิงหาคม) 3 หน่วยงานประกอบด้วย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ลงนามบันทึกความตกลงยกระดับความร่วมมือในการป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ อันเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อตัดวงจรการประกอบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย และการทำงานร่วมกันของแต่ละหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ทั้งนี้ ความร่วมมือถือเป็นเรื่องสำคัญที่ตลาดทุนไทยต้องการในการฟื้นความเชื่อมั่น หรือ Trust and Confidence ของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยการสร้างความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นได้จะต้องประกอบด้วยหลายเรื่อง คือ 

 

  1. มีกลไกการทำงานของการลงทุนที่อธิบายได้ โดยในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา ภาคตลาดทุนออกมาตรการในหลายเรื่องเพื่อความเชื่อมั่นว่ากลไกการลงทุนเป็นธรรม และสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่ลงทุน เช่น การออกมาตรการควบคุม Short Sell, โปรแกรมซื้อ-ขายหุ้น รวมถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการส่งคำสั่งซื้อ-ขาย อีกทั้งสามารถอธิบายได้โดยไม่ขัดแนวทางปฏิบัติของสากล ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพดีขึ้น และเชื่อว่าจะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาเพิ่มเติมอีกในอนาคต

 

  1. การซื้อ-ขายลงทุน ที่อธิบายไม่ได้ด้วยเจตนาทุจริตหรือไม่เจตนา แต่ก่อให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือกันในการเฝ้าระวังที่มีระบบอย่าง Surveillance โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีข้อมูลมากที่สุดคือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกันทำงานกับสำนักงาน ก.ล.ต. ที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน และข้อมูลของทั้ง 2 หน่วยงานต้องเชื่อมโยงไปยังเม็ดเงินลงทุนในตลาดทุนเพื่อให้ทราบเจตนาของการลงทุน ดังนั้นการลงทุนความร่วมของทั้ง 3 หน่วยงานนี้จึงมีความสำคัญมาก เพราะเป็นเรื่องที่ถูกเรียกร้องอย่างมากจากต่างประเทศให้ดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย

 

  1. การสร้างมูลค่าสะท้อนให้สะท้อนมายังเศรษฐกิจในอนาคต ด้วยโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยของเดิมจำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่าภาคเศรษฐกิจเดิมจะยังมีมูลค่าอีกอย่างน้อย 20 ปี ส่วนโครงสร้างธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล จะทำให้การลงทุนไม่ใช่เฉพาะการเข้าถึงของนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ แต่ต้องเข้าถึงนักลงทุนรายย่อยด้วย

 

ขณะที่เชื่อว่าหลังจากทั้ง 3 หน่วยงานร่วมกันทำงานแล้ว จะมีข้อมูลที่ทำให้ทราบปัญหาที่เกิดขึ้น เชื่อว่าในอนาคตจะมีกฎหมายที่ออกมาในการกำกับรองรับเพิ่มตามมาในระดับประเทศ เพื่อดูแลในเรื่องเหล่านี้ให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็วขึ้น มีความเป็นธรรมและช่วยลดความเสียหายของผู้ลงทุนได้ด้วย

 

ด้านความคืบหน้าของการเสนอขายกองทุนรวมวายุภักษ์ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม และมีการสำรวจความต้องการของกลุ่มต่างๆ ซึ่งมีการพูดคุยกับสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาพิจารณาในรูปแบบการเสนอขายให้เหมาะสม โดยคาดว่าจะเสนอขายกองทุนรวมวายุภักษ์ได้ในช่วงปลายเดือนกันยายหรือต้นเดือนตุลาคมนี้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising