การเปิดโรงงาน BYD ของจีนในไทยอาจดูเหมือนเป็นข่าวดีสำหรับ เศรษฐกิจไทย แต่ในความเป็นจริง อุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับคลื่นยักษ์จากจีนที่กำลังซัดเข้ามาอย่างหนักหน่วง การปิดตัวลงของโรงงาน Suzuki Motor ซึ่งสามารถผลิตได้ถึง 60,000 คันต่อปี และอีกกว่า 2,000 โรงงานในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุมเร้าเศรษฐกิจไทย
สินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาพลังงานและค่าแรงที่สูงก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้กับผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลาง
ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมเผยให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยจำนวนโรงงานที่ปิดตัวลงในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 – มิถุนายน 2567 เพิ่มขึ้นถึง 40% จากช่วง 12 เดือนก่อนหน้า ส่งผลให้มีคนตกงานกว่า 51,500 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 80%
รัฐบาลภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กำลังเผชิญกับความท้าทายในการแก้ไขปัญหานี้ โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 5% ต่อปีในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.73% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
รายงานของ Reuters อ้างอิงคำพูดของ ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มองว่าโมเดลเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยภาคอุตสาหกรรมนั้นล้าสมัยไปแล้ว และจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโดยด่วน เพื่อรับมือกับการแข่งขันจากจีนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
การมุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และไม่ใช่สินค้าที่จีนสามารถผลิตได้ในราคาถูก รวมถึงการเสริมสร้างภาคเกษตรกรรมให้แข็งแกร่งขึ้น อาจเป็นทางออกสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากสินค้าราคาถูกนำเข้าที่ราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีน แต่ก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษีและการทุ่มตลาดสินค้าจากจีน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการป้องกันเพิ่มเติม
ด้วยสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพียงประมาณ 2.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจกับผลงานของเศรษฐา
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการปิดตัวลงของโรงงานจำนวนมาก ทำให้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตเพียงประมาณ 2.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจกับผลงานของเศรษฐา แม้จะออกนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ที่ใช้เม็ดเงินหลายแสนล้านบาท แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐายังคงยืนยันว่านโยบายนี้เป็น ‘ยาแรง’ ที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และหวังว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้
อนาคตของเศรษฐกิจไทยยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ วิกฤตครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และอาจนำไปสู่การว่างงานและปัญหาสังคมอื่นๆ ที่รุนแรงขึ้น
ภาพ: Factory X / Shutterstock
อ้างอิง: