เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ส่งมอบรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีการบังคับสูญหายบุคคลที่พำนักอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านให้แก่ สมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยมีผู้แทนญาติผู้สูญหายเข้าร่วม
ศยามล กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวโดยสรุปว่า กสม. ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณีการบังคับสูญหายบุคคลที่พำนักอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอลี้ภัยทางการเมืองใน สปป.ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิตไประหว่างปี 2560-2564 จำนวน 9 ราย ได้แก่
- อิทธิพล สุขแป้น
- วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ
- สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
- ชัชชาญ บุปผาวัลย์ (เสียชีวิต)
- ไกรเดช ลือเลิศ (เสียชีวิต)
- ชูชีพ ชีวะสุทธิ์
- กฤษณะ ทัพไทย
- สยาม ธีรวุฒิ
- วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
ขณะที่ผู้ร้องเห็นว่ารัฐบาลไทยเพิกเฉยในการติดตามผู้สูญหายและไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ทำให้เชื่อได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหาย นั้น
อย่างไรก็ตาม กสม. ได้ตรวจสอบโดยพิจารณาจากเอกสาร พยานหลักฐาน หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน ที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า
- กรณีตามคำร้องนี้ หน่วยงานของรัฐไม่ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการสืบสวนจนทราบชะตากรรมของบุคคลที่สูญหาย และการดำเนินการสืบสวนเป็นไปอย่างล่าช้า อันกระทบต่อสิทธิในการรู้ความจริง (Right to Know the Truth) ของญาติและครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิต
- การบังคับให้บุคคลสูญหายถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับรองและคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญหรือหนังสือสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ตกเป็นเหยื่อ ครอบครัว และคนใกล้ชิด รวมทั้งสังคมโดยรวม รัฐจึงมีหน้าที่ในการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของการสูญหายและนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมถึงจะต้องชดเชยและเยียวยาอย่างรอบด้านให้กับญาติหรือครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
- พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ยังไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ครอบคลุมถึงการเยียวยาด้านการเงินในกรณีการบังคับให้บุคคลสูญหาย ส่วนการชดเชยและเยียวยาด้านอื่นก็ไม่ปรากฏว่าหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการเช่นกัน ทำให้ญาติหรือครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิตตามคำร้องนี้ ยังไม่ได้รับการชดเชยและเยียวยา
ศยามลกล่าวต่อไปว่า แม้กรณีการสูญหายของบุคคลทั้ง 9 ราย ซึ่งต่อมาพบว่ามี 2 รายเสียชีวิตแล้วนั้น จะยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานอย่างชัดแจ้งว่าผู้ลงมือก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของบุคคลดังกล่าว ซึ่งหน่วยงานของรัฐได้มีการออกหมายจับและพยายามติดตามตัวมาโดยตลอด รวมทั้งผู้ที่สูญหายมีจุดเกาะเกี่ยวที่เชื่อมโยงกันคือ เป็นกลุ่มคนที่มีความเห็นต่างกับฝ่ายรัฐบาล ทำให้เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปและเสียชีวิตของบุคคลทั้ง 9 รายนี้ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้การที่หน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในการสืบสวนสอบสวน ติดตามหาตัวผู้กระทำความผิด หรือเพื่อให้ทราบชะตากรรมของผู้ถูกบังคับให้สูญหาย และละเลยการเยียวยาให้แก่ครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิต ย่อมถือเป็นการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. จึงมีข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสูญหายและเสียชีวิตของบุคคลทั้ง 9 รายจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้ถูกบังคับให้สูญหายและรู้ตัวผู้กระทำผิด พร้อมทั้งกำหนดมาตรการชดเชยและเยียวยาให้แก่ญาติหรือครอบครัว และแจ้งผลการดำเนินการตลอดจนความคืบหน้าให้ญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิตทราบเป็นระยะ
นอกจากนี้ให้เร่งรัดกำหนดนโยบายและมาตรการฟื้นฟูและเยียวยาด้านร่างกายและจิตใจแก่ผู้เสียหาย กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการช่วยเหลือและเยียวยาผู้เสียหายด้านการเงินและจิตใจ รวมถึงการฟื้นฟูระยะยาวทางการแพทย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมกันนี้ให้พัฒนาแนวทางหรือวิธีการสืบสวนกรณีคนไทยที่อาศัยอยู่นอกราชอาณาจักรไทยถูกกระทำทรมานหรือถูกบังคับให้หายสาบสูญ
กสม. ยังมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้เร่งให้สัตยาบันต่อพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (OPCAT) และให้มีการอนุวัติกฎหมายภายในประเทศตามพิธีสารดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติด้วย
ด้าน สมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้แทนญาติผู้สูญหาย กล่าวว่า ขอขอบคุณ กสม. ที่รับเรื่องร้องเรียนกรณี 9 คนไทยที่สูญหายไปในประเทศเพื่อนบ้านไปตรวจสอบ กระทั่งมีผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการคืนความยุติธรรมให้กับผู้สูญหายและผู้เสียชีวิต โดยหวังว่าหลังจากนี้รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมุ่งหน้าสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงของผู้สูญหายที่ยังไม่ทราบชะตากรรมจนกระจ่าง และดำเนินการเยียวยาความเสียหายตลอดจนผลกระทบต่างๆ ที่ญาติและครอบครัวได้รับอย่างเป็นธรรมและโดยเร็ว
ด้าน สมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวหลังรับมอบรายงานผลการตรวจสอบกรณีการบังคับสูญหายบุคคลที่พำนักอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านว่า ในเรื่องการเยียวยาความเสียหายให้แก่ญาติและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับให้สูญหายนั้น กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้จัดทำระเบียบว่าด้วยการเยียวยาและอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง เพื่อให้ญาติและครอบครัวได้รับการเยียวยาความเสียหายโดยเร็ว
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีข้อจำกัดในการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงจากเหตุที่เกิดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ โดยยืนยันว่าหน่วยงานของรัฐบาลไทยที่มีหน้าที่สืบสวนไม่ได้นิ่งนอนใจและมีการประสานงาน รวมทั้งมีแผนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตนจะนำข้อเสนอแนะจากรายงานผลการตรวจสอบของ กสม. รวมทั้งข้อมูลที่ได้รับฟังจากญาติและครอบครัวผู้เสียหายในวันนี้แจ้งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมโดยเร็วที่สุด เพื่อให้การเยียวยาและสืบสวนหาข้อเท็จจริงมีความคืบหน้ายิ่งขึ้น
ขณะที่ ปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กสม. ขอเป็นกำลังใจให้ญาติผู้สูญหายและขอให้ทราบชะตากรรมของผู้สูญหายโดยเร็ว โดยในเรื่องการเยียวยา กสม. อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาแนวทางการเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทำทรมานและบังคับให้สูญหาย โดยมีข้อเสนอแนะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายตั้งอนุกรรมการพัฒนาระบบ มาตรการ และแนวทางในการเยียวยา ให้เป็นตามมาตรฐานสากล
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะได้นำข้อเสนอแนะจากรายงานผลการตรวจสอบนี้ไปดำเนินการ เพื่อให้บุคคลทุกคนได้รับความคุ้มครองต่อสิทธิในชีวิตและร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัจจุบันรัฐบาลไทยได้ยื่นสัตยาบันสารเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) แล้วเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา