หุ้น บมจ.มากุโระ กรุ๊ป หรือ MAGURO เข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วานนี้ (5 มิถุนายน) เป็นวันแรก ราคาเปิดการซื้อ-ขายที่ 23 บาท เพิ่มขึ้น 7.10 บาท หรือบวก 44.65% จากราคาจองซื้อ IPO ที่ 15.90 บาท
โดยระหว่างซื้อ-ขายวานนี้ ราคาหุ้น MAGURO ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 23.70 บาท บวก 49.05% ส่วนราคาต่ำสุดอยู่ที่ 18.50 บาท บวก 16.35 % จากนั้นราคามาปิดการซื้อ-ขายของวันที่ 19.40 บาท บวก 3.50 บาท หรือ 22.01% จากราคา IPO
MAGURO ซื้อ-ขายใน mai ภายใต้กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร มูลค่าระดมทุนหุ้นออกใหม่ 341.22 ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,003.40 ล้านบาท
สมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บมจ.มากุโระ กรุ๊ป หรือ MAGURO กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า กรณีที่วานนี้ (5 มิถุนายน) หุ้น MAGURO เข้าซื้อ-ขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก พบว่า ในช่วงเปิดการซื้อ-ขายมีรายการ Big Lot เกิดขึ้นจำนวน 4 รายการ จำนวนรวม 5.61 ล้านหุ้น ในราคา IPO ที่ 15.90 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 89.21 ล้านบาท ได้มีการแจ้งรายงานไว้แล้วในแบบแสดงรายการ (Filing) ของบริษัท
ทั้งนี้ รายการ Big Lot ดังกล่าวเป็นการทำรายการของกลุ่มก่อตั้งบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 4 ราย ได้แก่
– เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง
– ชัชรัสย์ ศรีอรุณ
– รณกาจ ชินสำราญ
– จักรกฤติ สายสมบูรณ์
โดยทำข้อตกลงขายกับนักลงทุนสถาบันจำนวน 3 ราย ได้แก่
– กองทุนส่วนบุคคล โดย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำนวน 2,805,200 หุ้น
– บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,402,400 หุ้น
– บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำนวน 1,402,800 หุ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบัน 3 รายดังกล่าวต้องการและมีนโยบายการลงทุนในหุ้น MAGURO ในระยะยาว โดยนักลงทุนทั้ง 3 รายดังกล่าวทำข้อตกลงว่าจะไม่ขายหุ้นภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้เข้าถือหุ้น
บรรยากาศงานหุ้น MAGURO เริ่มซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก
ด้าน เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2567 จะเติบโตในระดับ 30% จากปีก่อน โดยมาจากปัจจัยที่ในช่วงปลายปี 2566 ที่มีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 4-5 สาขา ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2567 รวมถึงจากปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของสาขาเดิมที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนในการวิจัยพัฒนาเพื่อเปิดแบรนด์ร้านค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับในปี 2567 บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกจำนวน 11 สาขา โดยจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งในกรุงเทพฯ จะเปิดในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) โดยใช้เงินลงทุนสาขาละ 13-25 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับโลเคชัน ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากทำเล CBD 30% อีก 70% มาจากทำเลรอบนอก CBD
ทั้งนี้ ประเมินว่าแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของบริษัทในอนาคตมีจะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากที่ทำได้ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากแผนการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งบริษัทจะมีอำนาจการต่อรองที่สูงขึ้นกับซัพพลายเออร์จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น สะท้อนจาก Net Profit ของบริษัทที่มีผ่านมาที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนประเด็นที่รัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน ประเมินว่าจะไม่มีผลกระทบกับบริษัท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีการจ่ายค่าแรงในอัตราที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าวอยู่แล้ว
สำหรับกรณีที่กองทุน Holistic Impact หรือ Lombard Asia Management Ltd. (LAM) ได้เข้ามาถือหุ้นของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือเป็น Strategic Partner ของบริษัทที่มีบทบาทส่งทีมงานเข้ามาช่วยแนะนำในการบริหารการทำงานให้ความเป็นมืออาชีพมากขึ้นทั้งด้านการเงินรวมถึงการวางกลยุทธ์ธุรกิจ
“นโยบายการลงทุนของ Lombard คงตอบแทนเขาไม่ได้ แต่ Lombard ถือเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในระยะยาว ไม่ได้กำหนดเป้าหมายว่าจะขายหุ้นออกภายใน 3 ปี หรือ 5 ปี เพราะเขาก็เห็นศักยภาพของบริษัทตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาลงทุน”
ปัจจุบัน Lombard ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 ใน MAGURO ด้วยสัดส่วน 13.52%