วันนี้ (24 พฤษภาคม) สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาตรวจเยี่ยมการฝึกทหารเกณฑ์ กรมต่อสู้อากาศยานรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน กองทัพอากาศ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงกลาโหมคิดที่จะปรับเรื่องของการดูแลทหารเกณฑ์แบบใหม่ เปลี่ยนจากการฝึกมาเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงมาดูความคืบหน้าในเรื่องกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
สุทินกล่าวต่อว่า สิ่งแรกคือได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพลทหาร ซึ่งมีการฝึกเพียง 2 สัปดาห์กว่า แต่สามารถเปลี่ยนจากพลเรือนเป็นทหารได้รวดเร็ว ทั้งเรื่องวินัยและความพร้อมทางร่างกาย เหมือนเป็นทหารมานาน ถือเป็นความภูมิใจที่ได้เห็นทหารเกณฑ์เหล่านี้เปลี่ยนจากพลเรือนมาเป็นทหารอย่างที่กองทัพต้องการได้ ประการที่ 2 ได้เห็นว่าครูฝึกมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเห็นกระบวนการฝึกที่จัดไว้ให้พลทหารอย่างดี
หลังจากนี้เหลือด้านอื่นๆ ที่จะต้องไปดูต่อ ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ กระบวนการพัฒนา และการให้ความรู้ จิตสำนึก จะต้องไปดูให้ละเอียด โดยต้องการให้ผู้ปกครองได้เห็นว่าการฝึกทหารเกณฑ์ 2-3 เดือนจะทำให้ลูกหลานเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เชื่อว่าผู้ปกครองจะภูมิใจเช่นกัน ซึ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็รู้สึกภูมิใจที่จะได้เห็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีกลับไปสู่สังคม
พร้อมกันนี้ก็จะส่งเสริมให้ทหารเกณฑ์ได้เป็นข้าราชการทหารโดยมีโควตาให้ตามความเหมาะสมสำหรับการสอบเข้าเป็นนายสิบ ซึ่งในปีนี้เพิ่มโควตานักเรียนนายสิบ-นักเรียนจ่าจากทหารเกณฑ์ เป็นร้อยละ 50-60 และได้รับฟังจากแนวคิดจากทางกองทัพว่าอาจเพิ่มเป็น 100% ก็ได้หากมีคุณภาพแบบนี้ เพื่อส่งต่อให้เป็นนักเรียนนายสิบ-นักเรียนจ่าที่ดีต่อไป ซึ่งจะประหยัดงบประมาณในการฝึกและเป็นการส่งเสริมให้ทหารเกณฑ์มีความก้าวหน้า เพื่อให้ได้กำลังพลที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม
โดยเชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดแรงจูงใจ ทำให้ชายไทยเข้ามาสมัครเป็นทหารเกณฑ์ เพราะว่าจะทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้เห็นความจริงจากกองทัพ ว่าได้ดูแลทหารเกณฑ์ในรุ่นนี้เป็นอย่างดี จากเดิมที่มีเฉพาะเรื่องของการประชาสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ หลังจากนี้ก็จะเห็นภาพจริงมากขึ้น
ทั้งหมดก็เป็นการจูงใจที่กระทรวงกลาโหมเคยพูดไว้ ทั้งเรื่องสวัสดิการ เรื่องของอนาคตในการรับราชการ และคุณภาพชีวิตต้องดี หรือพูดง่ายๆ กินอิ่มนอนอุ่น และต้องกำชับให้ผู้บังคับบัญชาทำอย่างเป็นรูปธรรม โดยเชื่อว่าจะมีผลให้ชายไทยมาสมัครเป็นทหารเกณฑ์มากขึ้นในปีหน้าและปีต่อไป
พร้อมย้ำว่าพอใจภาพรวมการฝึกของทหารอากาศหลังจากที่ไปดูการฝึกทหารเกณฑ์ของเหล่าทัพอื่นมาก่อนหน้านี้ และหลายเรื่องก็เป็นรูปแบบเดียวกัน เช่น การดูแลสุขภาพ การป้องกันฮีตสโตรกและความปลอดภัยต่างๆ
จากนั้นสุทินได้เดินทักทายทหารใหม่ พร้อมสอบถามว่ามาจากจังหวัดใด พบว่าส่วนใหญ่มาจากภาคอีสาน และมีวุฒิการศึกษาอยู่ที่ระดับมัธยมศึกษา ซึ่งสุทินได้ของให้ ผบ.ทอ. ส่งเสริมเรียน กศน. ให้จบชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ควบคู่การติวสอบนักเรียนจ่าอากาศ ภายหลังที่กระทรวงกลาโหมได้ให้โควตาทหารเกณฑ์เข้าเรียนและมีคะแนนพิเศษควบคู่เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนมาสมัครเป็นทหารตามแนวทางลดการเกณฑ์ทหาร
สุทินยังกล่าวชื่นชมการฝึกทหารใหม่ที่เข้าประจำการได้เพียง 3 สัปดาห์ ว่ามีบุคลิกและร่างกายที่ดีขึ้น เพราะมองว่าหลายคนก่อนหน้านี้เต้นอยู่หน้าเวทีหมอลำและอยู่หน้ารถแห่ หากผู้ปกครองมาเห็นก็จะภาคภูมิใจกับลูกหลาน จากนั้นได้เยี่ยมชมโรงนอนทหารที่ปรับปรุงใหม่ให้สะอาดและระบายความร้อนได้มากขึ้น ด้วยการติดตั้งระบบระบายความร้อน
จากนั้นได้เยี่ยมโรงเลี้ยงติดแอร์ ร่วมรับประทานอาหารกับทหารใหม่ในภาชนะถาดหลุม ซึ่งพบว่าเป็นอาหารอีสาน ได้แก่ ลาบหมู ต้มแซ่บกระดูกหมู ส้มตำปลาร้า ปลาดุกย่าง 1 ตัว ข้าวสวย ข้าวเหนียว ซึ่งก่อนรับประทานอาหาร ทหารใหม่ได้ท่อง ‘โคลงราชสวัสดิ์ สะเจ’ ที่เป็นหลักปฏิบัติผู้รับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์
ในช่วงท้าย สุทินกล่าวกับทหารใหม่ว่า ตนมาดูสารทุกข์สุกดิบ และมาต้อนรับน้องๆ ทหารใหม่ ที่อยากดูที่สุดคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์การฝึก จากที่นำทหารมาฝึกไว้เตรียมรบ รุ่นนี้เน้นหนักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ มีศักยภาพ รวมทั้งพัฒนาจิตใจให้ดี ด้วยการรักชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยเหลือประชาชนและเพื่อนมนุษย์ ตนได้ให้นโยบายในการให้โอกาสทางด้านการศึกษา ส่งเสริมอาชีพ ที่น่ายินดีคือหน่วยนี้เป็นการสมัครใจ 60% ส่วนคนที่ไม่สมัครก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมาแล้วก็เป็นทหารเหมือนกัน ขอให้เข้ารับการฝึกให้เต็มที่ และเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา
นอกจากนั้น อยากให้กระบวนการฝึกทหารเอาน้องๆ ออกจากยาเสพติด ซึ่งที่นี่พบว่ามีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่จากที่ลงพื้นที่หน่วยทหาร จังหวัดนราธิวาส พบว่ามี 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเห็นระบบแล้วก็มีความหวังว่าจะสำเร็จ ส่วนเรื่องความเป็นอยู่ อาหารการกิน ที่นี่มีห้องอาหารติดแอร์ อาหารวันนี้ดูดี แต่ต้องดูว่าหลังจากนี้จะดีหรือไม่ ตนก็ให้คนแอบไปตรวจหลายที่แล้ว ส่วนข่าวที่บอกว่าจะเอาข้าว 10 ปีให้ทหารกิน น่าจะฟังผิด ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ เรามอบให้กองทัพซื้อตามดุลพินิจ ไปซื้อข้าวที่ไหนก็ได้ แต่ต้องได้คุณภาพ ทหารต้องอยู่ดีกินดี รัฐมนตรีไม่มีอำนาจไปสั่งซื้อโน่นซื้อนี่ ถ้าอยู่ไม่ดี กินไม่ดี ก็สามารถใช้โทรศัพท์หรือมีโซเชียลมีเดียเผยแพร่ได้