เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research ได้จัดทำบทวิเคราะห์พรีวิวผลประกอบการ 1Q67 ของ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการวันที่ 14 พฤษภาคม 2567
โดยคาดว่า MINT จะรายงานขาดทุนปกติที่ 243 ล้านบาทใน 1Q67 ดีขึ้นจากขาดทุนปกติ 647 ล้านบาทใน 1Q66 แต่จะแย่ลงจากที่มีกำไรปกติ 2.5 พันล้านบาทใน 4Q66 โดยมองว่าการเพิ่มขึ้นของกำไรปกติ YoY จะมาจากธุรกิจโรงแรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในยุโรปและประเทศไทย ในขณะที่การลดลง QoQ เกิดจากปัจจัยฤดูกาลของช่วงโลว์ซีซันในยุโรป
การดำเนินงานของโรงแรมในยุโรป (ผ่าน NHH, 55% ของรายได้) คาดว่า RevPAR จะอยู่ที่ 75 ยูโรต่อห้อง (เพิ่ม 12%YoY แต่ลดลง 21%QoQ) จาก ARR ที่ 120 ยูโรต่อห้อง (เพิ่มขึ้น 5%YoY แต่ลดลง 13%QoQ) และอัตราการเข้าพักที่ 62% (เพิ่มขึ้นจาก 60% ใน 1Q66 แต่ลดลงจาก 68% ใน 4Q66) การดำเนินงานของโรงแรมในประเทศไทย (8% ของรายได้) คาดว่า RevPAR จะเติบโต 23%YoY และ 30%QoQ จากอัตราการเข้าพักและ ARR ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทย
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น MINT ปรับขึ้น 0.75% สู่ระดับ 33.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.16% สู่ระดับ 1,361.97 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
ภูมิภาคยุโรปกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน ทั้งนี้ จากข้อมูลของ EUROCONTROL เที่ยวบินเฉลี่ย 7 วันในภูมิภาคยุโรป (ณ วันที่ 25 เมษายน 2567) เพิ่มขึ้น 3%YoY และ 12% จากสิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งจากเส้นทางการบินในภูมิภาคยุโรปและระหว่างภูมิภาคยุโรป นอกจากนี้ การท่องเที่ยวในยุโรปน่าจะได้รับแรงบวกจากอีเวนต์พิเศษ เช่น การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ในเยอรมนี (14 มิถุนายน – 14 กรกฎาคม 2567) และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่ปารีส (26 กรกฎาคม – 11 สิงหาคม 2567)
โดยคาดว่าผลประกอบการของ MINT ใน 1Q67 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี โดยการดำเนินงานและกำไรใน 2Q67 จะแข็งแกร่งขึ้น (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) จากช่วงไฮซีซันของยุโรป และประมาณการว่ากำไรปกติจะเติบโต 12% สู่ 8.0 พันล้านบาทในปี 2567
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
InnovestX Research ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ MINT และเห็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสมหุ้นเพื่อแนวโน้มกำไรที่ดีขึ้นข้างหน้า MINT เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ไว้ที่ 44 บาทต่อหุ้น อ้างอิงวิธี Sum-of-the-parts
แม้ว่าราคาหุ้น MINT ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 11% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่มองว่า Valuation ยังไม่แพง เนื่องจากซื้อขายที่ P/E ปี 2567 ระดับ 23 เท่า ซึ่งเท่ากับระดับใกล้เคียง -1SD ของ P/E เฉลี่ยในอดีต (ตั้งแต่ปี 2555 ไม่รวมปี 2563-2565 ซึ่งเป็นปีที่เกิดสถานการณ์โควิด)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทาง และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร
ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG คือ การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำเสีย และขยะที่มีประสิทธิภาพ (E)
