ฟาดฟันกันมาตลอด 12 สัปดาห์ มีทั้งหักมุมเพราะตัวเก็งตกรอบก่อน มีทั้งเมนเทอร์หายตัวกลางอากาศแบบไม่รู้สาเหตุ ฯลฯ ในที่สุดเราก็จะได้รู้เสียทีว่าใครจะเป็นผู้ชนะ The Face Thailand Season 4 All Stars และได้รู้ด้วยว่าเมนเทอร์พลอยจะกลับมาหรือไม่!
ในฐานะคนที่ติดตามรายการ The Face Thailand มาทุกซีซันแบบดูแล้วดูอีกเพื่อเขียนวิเคราะห์ และได้ไปดูข้างเวทีมาตั้งแต่ซีซัน 2 นี่เป็น 10 เรื่องที่อยากเล่าให้ทุกท่านทราบ และมันคือสิ่งที่คุณอาจจะไม่ได้เห็นจากบนจอโทรทัศน์แม้ถ่ายทอดสดในเวลาเดียวกัน และบางส่วนยังคงทำให้เรานำกลับไปใช้พัฒนาการทำงานของเราได้เหมือนเดิม
ติดตามดูรายการ The Face Thailand Season 4 All Stars EP.13 ย้อนหลังได้ที่ tv.line.me/v/3205125
* บทความมีการสปอยล์เนื้อหาของรายการ
1. บรรยากาศงานค่อนข้างเงียบเหงากว่าปีก่อนๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการแข่งขัน The Face Men Thailand ที่ GMM Live House แทบแตก! เพราะแฟนคลับของผู้ชายแต่ละคนมีล้นทะลักมาก เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือเหมือนโอตะ BNK48 แต่อยู่ในร่างของน้องๆ ผู้หญิง ผู้ชาย วัย ม.ปลาย และมหาวิทยาลัย ที่มาพร้อมป้ายไฟ ทุกคนตั้งใจมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เข้างานไม่ได้ก็ขอนั่งรออยู่ข้างนอกฮอลล์ แต่มารอบนี้อาจจะเพราะผู้เข้าแข่งขันเป็นผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ แฟนคลับเลยเงียบๆ เหงาๆ ไปหน่อย ยิ่งเวลาก่อนเข้ารายการที่โปรดิวเซอร์จะเรียกให้คนช่วยกันส่งเสียงให้ดูครื้นเครงนั้น ปรากฏว่าบรรยากาศค่อนข้างกริบมากและวังเวงแทน เมนเทอร์ลูกเกดเองก็เคยเล่าให้ฟังว่า ทำ The Face Thailand ผู้หญิงมาหลายซีซัน ไม่เคยมีแฟนคลับมาตามมากมายเท่าทำ The Face Men Thailand เลย
2. โปรดักชันในการจัดงานปีนี้ถือว่าดีขึ้นมากกว่าปีก่อนๆ เรียกว่าจัดใหญ่จัดเต็มขึ้นทุกปี อันนี้ต้องปรบมือให้ทีมงานด้วย โชว์โดยรวมมีอะไรมากขึ้นไปกว่าการให้คนออกมาเดินไปเดินกลับกันเฉยๆ แต่ออกแบบให้เป็นโชว์ที่มากไปกว่าการเดินแบบ เราถึงได้เห็นผู้เข้าแข่งขันทั้งเต้น ทั้งเดิน ทั้งห้อยโหน ทั้งตีลังกา ฯลฯ มองในมุมของการเป็นโชว์ก็ถือว่าตอบโจทย์ แต่มองในมุมของการเดินแบบก็อาจจะดูประหลาดไปหน่อย อันนี้แล้วแต่มุมมองว่าใครอยากได้แบบไหน
3. ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ทุกคนที่ออกมาเดินแบบต้องเดินแล้วชี้หน้าคนดูหมดทุกคน หรือไม่ก็กวักมือเรียกเสียงกรี๊ดไปมา กี่คนต่อกี่คนออกมาเรียงกันชี้หมด! เป็นมิติแบบใหม่ของการเดินแบบ เดินแบบไป ชี้หน้าคนไปด้วย ทำแรกๆ ก็ดูเท่ดี แต่พอทุกคนทำเหมือนกันหมดเลยกลายเป็นความตลกว่าจะชี้อะไรกันมากมาย
4. ตอนที่ เจนิซ ดิกคินสัน ซูเปอร์โมเดลระดับตำนานเดินออกมามันควรจะเป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่มาก ปรากฏว่าในฮอลล์เงียบกริบ อาจจะงงอยู่ว่าเธอคือใคร มาทำไม เลยเป็นโมเมนต์งงๆ กระอักกระอ่วนเบาๆ จนน่าเสียดายว่ามีบุคคลระดับตำนานมาประทับร่างอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ได้ถูกใช้โมเมนต์นั้นให้น่าตราตรึงใจ สุดท้าย เจนิซ ดิกคินสัน เดินออกมาวนรอบแล้วเชื้อเชิญให้คนดูช่วยปรบมือเสร็จก็เดินลงจากเวทีไปแบบคนดูก็งงๆ
5. ในแง่การทำงาน สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากการแข่งขันแคมเปญการแสดงครั้งสุดท้ายก็คือ ความตั้งใจเป็นเรื่องดีมาก แต่การมีความตั้งใจมากเกินไปทำให้ทุกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กลายเป็นตั้งใจเกินไปจนกดดันตัวเองมาก เราอาจจะต้องฝึกบริหารความกดดัน ถ้าเราเจอความกดดันบ่อยๆ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ได้ว่าเรารับความกดดันมาแค่ไหนถึงจะพอดีกับเรา อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้สำหรับคนทำงานคือการซ้อม การลงมือทำบ่อยๆ ยิ่งซ้อม ยิ่งลงมือทำ ความตื่นเต้น ความเกร็ง ความกดดันก็จะน้อยลง และแต่ละครั้งเราจะเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองที่เราสามารถเข้าไปแก้ได้ก่อน
6. สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมการออกแบบโชว์ของทีมคริส-ลูกเกดก็คือ การที่ทุกคนส่งให้ดารัณและจีน่าเด่นที่สุด ตั้งแต่การเลือกเสื้อผ้าที่ทั้งเมนเทอร์และลูกทีมคนอื่นๆ ใส่ชุดเดียวกันหมด ทำผมเหมือนกันหมด เดินมาเหมือนเป็นกองทัพ มีแต่ดารัณกับจีน่าในชุดขาวที่ดูต่างจากคนอื่น ทำให้ดูโดดเด่น ทั้งโชว์ไม่มีความรู้สึกว่าโดนเมนเทอร์เผลอขโมยซีนไปโดยไม่รู้ตัว ทุกคนมาเพื่อส่งให้สองคนสุดท้ายเด่น มีความเป็นทีมเวิร์กที่ดีมาก และจบด้วยเซอร์ไพรส์ที่ให้ดารัณและจีน่าขึ้นไปบนแท่นแล้วลอยขึ้นไปจากพื้นเป็นฟินาเล่ จบโชว์แล้วขนลุก! ยังไม่นับชุดของดารัณและจีน่าที่สามารถถอดออกมา ‘ฆ่า’ ทีมอื่นตอนอยู่รวมกันแล้วต้องแย่งซีนให้คนต้องมามองดูตัวเองอีก ในขณะที่คนอื่นทำได้เพียงสะบัดผ้าแล้วสะบัดผ้าอีก ไม่มีอะไรใหม่ๆ อันนี้ต้องขอชม
7. วิธีการออกแบบโชว์ของทีมคริส-ลูกเกดครั้งนี้ทำให้นึกถึงไฟนอลวอล์กของ The Face Men Thailand ซึ่งเมนเทอร์ลูกเกดใช้วิธีการเดียวกันนี้คือเดินส่งให้ฟิลลิปป์เด่นกว่าเมนเทอร์ ให้ฟิลลิปป์มีซีนของตัวเอง ในขณะที่ตอนนั้นอติล่าซึ่งเป็นตัวเก็ง พอเดินออกมาพร้อมกับเมนเทอร์หมู ทุกคนมองที่เมนเทอร์หมูหมด เพราะเมนเทอร์จิกแรงกว่า เดินแรงกว่าลูกทีม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน โชว์ของทีมบี-ริต้าทำได้ดี แต่ทุกคนเหมือนมาเดินเพื่อรอให้เมนเทอร์ริต้าเดินออกมาในชุดที่ออกมาสวยกว่าลูกทีมทุกคน และกลายเป็นว่าทุกคนหันมามองเมนเทอร์ริต้าหมด ไม่ได้มองสกายและเทียอีกต่อไป
เวลาทำงานก็เหมือนกันครับ เราเป็นหัวหน้าแต่ก็ต้องรู้ว่าเมื่อไรจะให้สปอตไลต์ส่องลงมาที่ลูกน้องเรา เมื่อไรเราจะให้ลูกน้องอยู่หน้าเวทีแล้วเราอยู่ข้างหลังเป็นผู้สนับสนุน ลูกน้องทุกคนต้องการเวทีของเขา ต้องการการแสดงออกให้คนอื่นรู้ว่าเขามีความสามารถ โดยที่ไม่ได้อยู่ใต้เงาของหัวหน้าตลอดไป แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะถีบให้ลูกน้องไปยืนอยู่หน้าเวทีได้เลยนะครับ ก่อนจะไปถึงหน้าเวที หลังเวทีเราต้องซ้อมแล้ว ฝึกแล้ว จนเรามั่นใจว่าลูกน้องเราน่าจะเอาอยู่ แล้วค่อยๆ ฝึกให้เขาไปยืนอยู่ข้างหน้าโดยมีหัวหน้าอยู่ข้างหลัง ค่อยๆ ฝึกลูกน้องให้มาอยู่แถวหน้าเองนอกจากจะเป็นการฝึกให้เขามีความเป็นผู้นำมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เขาเข้าใจมากขึ้นว่าเขาต้องเรียนรู้ที่จะแก้สถานการณ์ให้เป็น ต้องยืนได้ด้วยตัวเองเช่นกัน แต่ถ้าเราปล่อยให้ลูกน้องอยู่ใต้เงาเราตลอด หรือมีแต่เราคนเดียวที่โดดเด่น ลูกน้องก็จะไม่โตเสียที
8. ถ้าถามว่าการดูไฟนอลวอล์กสนุกอย่างไร ผมคิดว่ามันเหมือนมาดูสงครามการแย่งชิงการเป็นที่สนใจของคนอื่น ลองคิดดูนะครับว่า ทุกคนบนเวทีดูดีหมด (และขอบอกว่าทุกคนตัวจริงดูดีกว่าในโทรทัศน์มาก!) แต่เมื่อทุกคนที่ดูดีหมดมาอยู่บนเวทีเดียวกัน ทำอย่างไรให้คนดูมองเรา ทำอย่างไรให้คนดูรักเรา เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่แค่แข่งกันบนความหน้าตาดีแล้ว แต่มันคือการสร้างตัวเองให้เป็นจุดสนใจกว่าคนอื่น โดดเด่นกว่าทุกคน มองฉันสิ จำฉันสิ รักฉันสิ ศิโรราบให้ฉันสิ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนบนเวทีกำลังแข่งขันกันอยู่ จากการได้อยู่ข้างเวที รู้สึกได้จริงๆ ว่าจีน่าเรียกความสนใจจากคนดูได้มากที่สุด เธอสวยน้อยกว่าคนอื่น แต่มีชีวิตชีวา มีความมั่นใจ มีการสร้างโมเมนต์ให้ตัวเองเป็นที่จดจำที่ไม่ได้มีแค่การเดินฟูลเทิร์น (ซึ่งกลายเป็นว่าทุกคนก็ขยันเดินฟูลเทิร์นกันทุกคนจนเป็นมาตรฐานที่ใครๆ ก็ทำกัน) คาแรกเตอร์ที่เธอส่งมาจากบนเวทีทำให้คนดูรู้สึกเข้าถึงง่าย เอาใจช่วย รู้สึกน่ามอง ในขณะที่คนอื่นๆ อาจจะทำได้ดีแต่ไม่เท่า สุดท้ายจีน่าก็เป็นฝ่ายชนะ
9. การดู The Face Thailand พร้อมกับเพื่อนสนุกกว่าดูคนเดียวมาก เพราะได้ลุ้นไปด้วยกัน
10. อีกเรื่องที่คนดูทางบ้านไม่รู้คือ ช่วงพักเบรกจะมีพี่ป๋อมแป๋มกับพี่ก็อตจิ จากรายการ เทยเที่ยวไทย มาสลับเป็นพิธีกร ช่วยให้บรรยากาศที่สุดแสนจะเกร็งเพราะทุกคนแต่งตัวก็เต็มยศมากเหมือนจะขึ้นไปบนเวทีดูผ่อนคลายมากขึ้นด้วยมุกด้นสดที่แพรวพราว เช่น “ปีนี้มีผู้เข้าแข่งขัน 7 คนได้เดินไฟนอลวอล์กเยอะพอๆ กับที่ตกรอบไปนั่นแหละค่ะ” ร้าย! จนตอนช่วงที่กราฟความน่าสนใจของรายการค่อนข้างงืด คนจะรอให้มีการตัดเข้าโฆษณาเสียที พี่ป๋อมแป๋มและพี่ก็อตจิจะได้ออกมากอบกู้สถานการณ์