มีคำกล่าวอย่างหนึ่งที่น่าจะเป็นจริงในอนาคตว่า หากสิ้นสุดยุคสมัยของ ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ หัวหอกคนต่อไปที่จะนำหนังญี่ปุ่นขึ้นมาสู่เวทีระดับโลกอย่างต่อเนื่องก็คือ ริวสุเกะ ฮามากุจิ เพราะในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี หนังทั้ง 3 เรื่องของเขาล้วนแล้วแต่คว้ารางวัลมาจากเทศกาลใหญ่ๆ แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Wheel of Fortune and Fantasy (2021) ที่ได้รางวัล Grand Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน, Drive My Car (2021) ที่ได้รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมจากออสการ์ และล่าสุดก็คือ Evil Does Not Exist (2023) ที่ได้รางวัล Grand Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส
ฉะนั้นเมื่อมองถึงผลลัพธ์ในช่วงที่ผ่านมาก็คงเป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธได้ว่าฮามากุจิเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสไตล์การทำหนังที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองด้วยการให้เรื่องราวเกือบทั้งหมดภายในเรื่องดำเนินไปอย่างราบเรียบผ่านบทสนทนาและการกระทำของผู้คนที่ไม่มีท่าทีรีบร้อนใดๆ แต่ความแยบคายของเขาก็คือ ท่ามกลางคำพูดที่ยาวเหยียดของตัวละครและสถานการณ์ที่ชักพาให้พวกเขามาเจอกันมันกลับแฝงไปด้วยความละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณเอาไว้
เช่นเดียวกัน หนังเรื่องล่าสุดของฮามากุจิอย่าง Evil Does Not Exist เองก็ยังคงมีแก่นกลางอยู่ที่มนุษย์ เพียงแต่ในครั้งนี้ใจความสำคัญที่เป็นพระเอกของเรื่องจริงๆ ก็คือธรรมชาติ ที่ด้านหนึ่งเปรียบเสมือนตัวละครขนาดใหญ่ที่ปกคลุมบรรยากาศตลอดทั้งเรื่อง แต่ที่น่าสนใจอีกอย่างคือในหนังเรื่องนี้ฮามากุจิแทบจะไม่ถ่ายภาพระยะใกล้เลย ภาพส่วนใหญ่ในหนังของเขาเป็นภาพระยะกลางถึงไกลเกือบหมด ด้วยเหตุนี้แมกไม้ที่อยู่ในแถบชนบทและวิถีชีวิตผู้คนจึงถูกจับจ้องด้วยงานภาพที่ทำให้คนดูกลายเป็นเหมือนบุคคลที่ 3 ซึ่งมีหน้าที่เพียงแค่เฝ้าสังเกตการณ์ชีวิตของพวกเขาเพียงอย่างเดียว
การได้เห็นชายหนุ่มที่มีชื่อว่า ทาคุมิ (ฮิโตชิ โอมิกะ) กำลังนั่งตักน้ำอยู่ริมแม่น้ำโดยที่มีเพียงแค่เสียงธรรมชาติ กลายเป็นฉากเปิดเรื่องที่เงียบงันและเผยให้เห็นถึงชีวิตที่ยึดโยงอยู่กับธรรมชาติของเขา ทั้งการตัดฝืน ไล่ยาวไปจนถึงนำน้ำที่ตักมาไปให้กับร้านอาหาร ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอออกมาอย่างเรียบง่ายและเชื่องช้าไม่ต่างอะไรกับการที่เรากำลังนั่งดูสารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของผู้คนที่อาศัยอยู่ในชนบท
แต่ทาคุมิก็มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง เธอมักจะชอบออกไปเล่นตามป่าแล้วเก็บสิ่งของกลับมา แม้จะมีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปที่ต้องไปโรงเรียน แต่ฮามากุจิก็ไม่ได้ถ่ายทอดแง่มุมอื่นๆ ของเธอเลยนอกจากการอยู่กับธรรมชาติ โดยปริยายมันจึงเป็นการกลืนกลายกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่ด้านหนึ่งการกระทำต่างๆ ของพวกเขาก็เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่ไม่ได้มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร
จนกระทั่งทุนนิยมเริ่มรุกล้ำเข้ามายังพื้นที่ชุมชน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หนังเริ่มเปลี่ยนทิศทางมาเล่าเรื่องด้วยการปะทะทางวาจามากขึ้น เมื่อบริษัทนายทุนได้ส่งพนักงานมาเจรจาและอธิบายแผนงานเรื่องพื้นที่ที่พวกเขาจะเอามาใช้ในการทำ ‘แกลมปิ้ง’ ซึ่งนั่นทำให้ชาวบ้านที่ไม่พอใจเริ่มหยิบยกเอาเหตุผลขึ้นมาพูดคุยกับพนักงานจนเกิดเป็นสภาวะที่กระอักกระอ่วนกันทั้งสองฝ่าย และมันถูกย้ำเตือนอีกครั้งเมื่อพวกเขาเอาข้อเรียกร้องของคนในพื้นที่ไปคุยกับหัวหน้าแต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธ
ในทำนองเดียวกัน มุมมองของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นเครื่องมือที่หนังเอามาใช้ในการประกาศจุดยืนของตัวเองว่านี่คือการต่อสู้ระหว่างทุนนิยมกับธรรมชาติในคราบของมนุษย์ ซึ่งแตกต่างจากหนังทั่วไปของฮามากุจิที่มักจะเป็นการเผชิญหน้ากันของมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่ความเหนือชั้นของเขาก็คือ หลายครั้งหลายคราฉากต่างๆ ในหนังเรื่องนี้กลับเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาทั้งความยาว จังหวะ รวมไปถึงสิ่งละอันพันละน้อยที่แฝงอยู่ในคำพูดของตัวละคร ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงมันก็เป็นเหมือนกับคลื่นใต้น้ำที่เราอาจไม่ทันจับสังเกต แต่เห็นอีกทีก็ตอนที่คลื่นเหล่านั้นกลายเป็นสึนามิแล้ว
และความคาดเดาไม่ได้นี้ก็ส่งผลต่อเรื่องราวในช่วงท้ายอย่างใหญ่หลวงโดยที่ตลอดทั้งเรื่องหนังไม่มี Foreshadow หรือลางบอกเหตุที่จะนำพาเรื่องราวไปสู่จุดจุดนั้นเลย ซึ่งเราคนดูก็คงจะอกสั่นขวัญแขวนไม่ต่างกันเมื่อได้เห็นการกระทำของเขา และในแง่หนึ่ง กลไกที่หนังใช้ก็ชวนให้นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เด็กนักเรียนสาวอย่าง คุโนะ (อายูมิ อิโตะ) ในหนังเรื่อง All About Lily Chou-Cho (2001) ของ ชุนจิ อิวาอิ กระโดดลงมาจากหอคอยเพื่อฆ่าตัวตาย เพราะท่ามกลางบรรยากาศที่หนังกำลังหยิบยื่นให้แก่คนดูคงไม่มีใครคาดคิดว่าคนทำจะกล้าหักไปเล่าเรื่องในทิศทางแบบนี้
แต่ความต่างอย่างหนึ่งระหว่าง All About Lily Chou-Cho กับ Evil Does Not Exist ก็คือชุดข้อมูล ในหนังของอิวาอิเรารู้ว่าคุโนะต้องอมทุกข์จากการขายตัว ซึ่งในทางหนึ่งมันก็มีเค้าลางอยู่บ้างว่าเธอจะฆ่าตัวตายเพื่อจบปัญหาทุกอย่าง แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ฮามากุจิแทบไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตัวละครเลย สิ่งที่รู้มีเพียงแค่ชื่อและภูมิหลังอันเล็กน้อยของพวกเขา ทำให้โดยปริยายเมื่อโทนหนังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมันจึงส่งผลให้คนดูรู้สึกว่าการดำเนินเรื่องนั้นดูไม่ค่อยสมบูรณ์ตามไปด้วย
ถึงแม้แก่นสารของ Evil Does Not Exist จะเกี่ยวโยงกับธรรมชาติ แต่ตัวละครในหนังของเขาก็ยังคงมีแง่มุมที่เปราะบาง การที่พนักงานสองคนซึ่งเปรียบเสมือนคนนอกได้เข้ามาสัมผัสธรรมชาติอาจดูเหมือนเป็นการปลอบประโลมชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยจากเมืองกรุง แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ไม่ได้มีแค่ด้านที่สวยงามเพียงอย่างเดียว และความน่ากลัวของมันก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าฉงนด้วยฉากแมกไม้ที่เหมือนกันแต่ให้อารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
หรือถ้านับรวมว่ามนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไม่ต่างจากกวางที่ถูกล่าในป่า การตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองก็เป็นการต่อสู้ดิ้นรนของสัตว์ชนิดนี้ และหากนายทุนหรือตัวแทนของพวกเขาคือสิ่งที่พรากความเป็นอยู่ของคนในชุมชน นั่นก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความย้อนแย้งของชื่อเรื่องที่ตั้งเอาไว้เป็นเหมือนกับปริศนาธรรม เพราะเราทุกคนก็คงเห็นพ้องต้องกันว่าปีศาจนั้นมีอยู่จริงทั้งในรูปแบบที่เปิดเผยและหลบซ่อนอยู่ในเงามืด
ว่าไปแล้วความเด็ดขาดอีกอย่างของฮามากุจิก็คือการกำกับที่แม่นยำ หรือเรียกได้ว่านี่เป็นผลงานที่พัฒนามาจากตอนที่เขาทำ Drive My Car ก็คงจะไม่ผิดเสียทีเดียว เพราะการเล่าเรื่องที่มีบริบทค่อนข้างเบาบางสามารถสร้างผลกระทบต่อหนังได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อทางลงของมันกลายเป็นสิ่งที่สร้างความค้างคาใจให้แก่คนดู แต่ฮามากุจิก็บริหารความเสี่ยงได้อย่างพอดิบพอดีด้วยการเปลี่ยนฉากนั้นให้เป็นคำถามที่ชวนถกเถียงในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ ฮิโตชิ โอมิกะ ผู้รับบททาคุมินั้นเดิมทีอาชีพหลักของเขาไม่ใช่นักแสดงแต่เป็นผู้จัดการกองถ่าย ซึ่งฮามากุจิกับโอมิกะเคยร่วมงานกันมาแล้วครั้งหนึ่งในหนังเรื่อง Wheel of Fortune and Fantasy และในขณะที่พวกเขากำลังตระเวนดูสถานที่เพื่อถ่ายทำ Evil Does Not Exist ฮามากุจิที่เห็นโอมิกะไปยืนบล็อกช็อตอยู่ตามที่ต่างๆ จึงตัดสินใจชวนเขามารับบทเป็นตัวเอกเสียเลย ซึ่งถ้าคิดแบบขำขันนี่ก็อาจเป็นอีกอย่างที่คาดเดาไม่ได้ในหนังด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลเลยยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าฮามากุจิเป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองจริงๆ อีกทั้งการใช้ความสามารถของเสียงและภาพมายกระดับงานของตัวเองก็ทำให้เห็นว่าเขายังคงเป็นผู้กำกับที่เก่งกาจในการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านคำพูดของผู้คน โดยเฉพาะเมื่อชีวิตและการกระทำของพวกเขาเชื่อมโยงกันกลายเป็นการพูดถึงประเด็นที่กระอักกระอ่วนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่สุดท้ายแล้วปลายทางอันขมุกขมัวในม่านหมอกก็ไม่มีใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริงอยู่ดี
Evil Does Not Exist เข้าฉายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่: YouTube
บทความอื่น ๆ:
- Madame Web เมื่อเสน่ห์ของทีมนักแสดงกลายเป็น ‘ฮีโร่’ ของหนังมากกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
- The Goldfinger การพบพานของ 2 ตำนานฮ่องกงที่ไม่ขลังเหมือนแต่เก่าก่อน