ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติยอมรับว่า GDP ปี 2566-2567 อาจโตต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่เงินเฟ้อปีนี้ส่อต่ำกว่า 2% สะท้อนว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจมาเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ Reuters เมื่อวันอังคาร (23 มกราคม) ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 น่าจะมีการขยายตัวน้อยกว่า 3% นับเป็นระดับต่ำกว่าที่ประมาณการล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วที่ว่า GDP ไทยปี 2567 จะโตถึง 3.2% ขณะที่ GDP ปี 2566 ก็คาดว่าจะต่ำกว่าประมาณการที่ 2.4% เช่นเดียวกัน เนื่องจาก GDP ไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 น่าจะใกล้เคียง (in line) กับไตรมาสที่ 3 ซึ่งขยายตัวเพียง 1.5%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของปีนี้ (Headline Inflation) จะต่ำกว่าประมาณการล่าสุดที่ 2% โดยเงินเฟ้ออาจจะติดลบในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ และอาจจะรวมถึงมีนาคมด้วย แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) น่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.2%
“เงินเฟ้อติดลบที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว อัตราเงินเฟ้อตามที่คาดการณ์ไว้ในระยะยาวยังเป็นบวกและคงที่” เศรษฐพุฒิกล่าว
ประมาณการดังกล่าวนับว่าใกล้เคียงกับกระทรวงการคลังวันนี้ (24 มกราคม) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวที่ 1.8% เนื่องจาก GDP ไตรมาส 4 คาดว่าจะขยายตัวที่ราว 1.4%
ยืนยันเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต ย้ำความอิสระของธนาคารกลางสำคัญ
ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับแรงกดดันเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยหลายต่อหลายครั้งจากฝั่งรัฐบาลและ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยล่าสุด เศรษฐพุฒิได้ออกมาระบุว่า เศรษฐกิจที่ชะลอหนักกว่าคาดนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตอย่างที่รัฐบาลพยายามบอก พร้อมระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะไม่ฟื้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นๆ
เศรษฐพุฒิเปิดเผยในวันอังคารที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ในระดับ Neutral และเศรษฐกิจไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหาเงินฝืดแต่อย่างใด
“ถ้าต้องการเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว (Long-term Potential Growth Rate) ต้องแก้ไขเชิงโครงสร้าง ต้องเร่งเพิ่มผลผลิต แต่หนทางที่จะทำอย่างนั้นได้ ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น” เศรษฐพุฒิกล่าว
ทั้งนี้ ทางฝั่งรัฐบาลได้ยืนยันมาตลอดว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับ ‘วิกฤต’ พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องทำโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อเป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐพุฒิกล่าวว่า สิ่งที่เห็นในตอนนี้คือเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว แม้ว่าจะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ไม่ใช่วิกฤต
หลังจากที่เศรษฐาแสดงความเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับจุดยืนนโยบายการเงินของธนาคารกลางในปัจจุบัน พร้อมร้องขอให้แบงก์ชาติพิจารณาการปรับลดนโยบาย
เศรษฐพุฒิกล่าวว่า “มีเพียงสองประเทศในโลกเท่านั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่าไทย นั่นคือญี่ปุ่นและสวิตเซอร์แลนด์” พร้อมกล่าวเสริมว่า การพบปะกับนายกฯ เมื่อไม่นานมานี้ เป็นไปในบรรยากาศที่จริงใจ
“ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากสำหรับธนาคารกลางคือการรักษาความเป็นอิสระ ความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือเอาไว้” เศรษฐพุฒิกล่าว
อ้างอิง: