วันนี้ (7 มกราคม) ที่ลานสาเกตนคร หน้าหอโหวด 101 จังหวัดร้อยเอ็ด เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คณะรัฐมนตรี และแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ร่วมพิธีเปิดกิจกรรมคิกออฟ ‘30 บาทรักษาทุกที่’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักของรัฐบาล
โดยแพทองธารกล่าวว่า วันนี้จะเป็นหนึ่งวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เพราะระบบสาธารณสุขไทยจะได้รับการยกระดับให้ทันสมัยขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น วันนั้นมีทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลได้เพียง 2 เดือนก็เริ่มมีจังหวัดนำร่องในการทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทยอยทำจนครบทั่วทั้งประเทศ วันนี้รัฐบาลภายใต้การนำของเศรษฐา 7 มกราคม 2567 ถือเป็นวันเริ่มต้นนโยบาย โดยนำร่อง 4 จังหวัด คือ แพร่ เพชรบุรี นราธิวาส และร้อยเอ็ด ซึ่งจังหวัดอื่นรอไม่นานจะครอบคลุมทุกประเทศ
ลดเวลารอ ตอบโจทย์ยุคสมัย
“เราจะไม่ต้องรอ เสียเวลาวุ่นวายที่โรงพยาบาล ไม่ต้องเสียเวลาทั้งวันเพื่อไปรอ ไม่ต้องรอรับยานานเกินไป ตรวจเลือด ซักประวัติก่อนพบหมอ สามารถทำได้เลยในสถานีอนามัยหรือคลินิกใกล้บ้านที่เป็นเครือข่าย สปสช. และในบางกรณีไม่ต้องมาโรงพยาบาล สามารถใช้ Telemedicine พูดคุยกับคุณหมอผ่านทางออนไลน์ สามารถปรึกษากับเภสัชผ่านออนไลน์ เห็นหน้าพูดคุยได้ด้วย สามารถทำนัดออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม” แพทองธารกล่าว
แพทองธารกล่าวว่า เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่านโยบายนี้จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของพี่น้องได้ไปตลอดกาล เหมือนที่ 30 บาทรักษาทุกโรคเคยทำมาแล้ว 22 ปีที่แล้วเราเริ่มที่ 8 เมษายน วันนี้เราเริ่มที่ 7 มกราคม เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้นโยบายของเราสามารถพัฒนาอย่างแข็งแรงขึ้น และแน่นอนว่ารัฐบาลจะสานต่อโครงการที่ดีมากๆ อยู่แล้วให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์พี่น้องประชาชนตามยุคตามสมัยเพิ่มมากขึ้น
22 ปีก่อนท่ามกลางข้อครหา สู่การต่อยอดเปลี่ยนชีวิต
แพทองธารกล่าวว่า ขอขอบคุณผู้ที่ผลักดันและสร้าง 30 บาทรักษาทุกโรค ทั้ง นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และการผลักดันของทักษิณ ที่ทำให้ประเทศไทยมีโครงสร้างหลักประกันสุขภาพที่ดี ถ้าไม่มีโครงการ 30 บาทในวันนั้น วันนี้เราคงทำงานได้ยากกว่า แม้ในตอนนั้นจะมีหลายข้อครหาที่ไม่เข้าใจ มีวาทกรรมในแง่ร้ายมากมาย วันนี้ทุกท่านได้เห็นแล้วว่า 30 บาทรักษาทุกโรคได้เปลี่ยนชีวิตของพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้นจริงๆ นั่นแปลว่านโยบายที่ดีสามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้ วันนี้รัฐบาลกลับมารับไม้ต่อ ทำให้ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ เราจะไม่หยุดพัฒนานโยบายที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ประชาชนแข็งแรง เป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศ
ขณะที่นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันให้โครงการนี้สำเร็จเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน เป็นการยกระดับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ประชาชนสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการรักษาในทุกเครือข่ายทั้งรัฐและเอกชน เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ตนได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนทุกกลุ่ม ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลของบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย
นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เราได้ยกระดับหน่วยบริการให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการจัดบริการสุขภาพให้แก่ประชาชน
“เพราะเราเห็นถึงความสำคัญของเวลาและคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน จึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับการบริการสุขภาพดิจิทัล โดยคำนึงถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสำคัญ และช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดระยะเวลาการรอคอย และลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวจะช่วยให้คนไทยทุกคนได้รับการดูแลสุขภาพได้ทุกที่ ให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง มีพลังในการดำเนินชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป” นายกฯ กล่าว
จากนั้นนายกฯ ได้ถ่ายรูปหมู่กับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งถือเป็นการเปิดโครงการอย่างเป็นทางการ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที