เกิดอะไรขึ้น:
ใน 4Q66 คาดกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 45%YoY (NIM ดีขึ้น) และทรงตัว QoQ (NIM ที่ดีขึ้นจะถูกหักล้างโดย OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล) ทั้งนี้เมื่อเทียบ QoQ คาดว่า BBL และ SCB จะรายงานกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น QoQ (ECL ลดลง) โดย KBANK จะเป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่รายงานกำไรสุทธิลดลง QoQ โดยมีสาเหตุมาจาก ECL ที่เพิ่มขึ้น และ OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะรายงานกำไรสุทธิที่ฟื้นตัวดีขึ้น YoY (ยกเว้น KKP เนื่องจากขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้น) โดยได้รับการสนับสนุนจาก NIM ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
รายการที่สำคัญใน 4Q66:
- Credit Cost: คาดว่าธนาคารทุกแห่ง ยกเว้น BBL และ SCB จะรายงาน Credit Cost เพิ่มขึ้น QoQ โดยมีสาเหตุมาจากการตัดหนี้สูญที่เร่งตัวขึ้น NPL ไหลเข้าที่เพิ่มขึ้น ขาดทุนรถยึดมากขึ้น และ LGD ที่สูงขึ้นของสินเชื่อเช่าซื้อซึ่งเป็นผลมาจากราคารถยนต์มือสองที่ลดลงใน 4Q66 เนื่องจาก BBL และ SCB ได้ตั้งสำรอง Management Overlay เพื่อรองรับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ไว้เป็นจำนวนมากใน 3Q66 จึงคาดว่า ECL จะลดลง QoQ ใน 4Q66
- NIM: คาดว่า NIM จะทำจุดสูงสุดใน 4Q66 โดยหลังจากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในเดือนกันยายน ธนาคารส่วนใหญ่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR, MOR และ MRR เพิ่มขึ้น 25 bps ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น 20-25 bps และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งคาดว่า NIM ของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้นราว 12 bps ใน 4Q66
- การเติบโตของสินเชื่อ: ผลกระทบของการตัดหนี้สูญจำนวนมาก การขาย NPL และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง ทำให้คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตในอัตราชะลอตัว YoY ที่ระดับเพียง 2%YoY แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากไตรมาสที่ 4 เป็นช่วงไฮซีซันสำหรับสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน (หลักๆ ที่ BBL) และคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อปี 2566 จะอยู่ที่ระดับเพียง 2%
- Non-NII: คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้น QoQ ตามฤดูกาล (จากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต bancassurance และการบริหารสินทรัพย์)
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้: คาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะเพิ่มขึ้น QoQ โดยมีสาเหตุมาจาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับขึ้น 2.35%, ราคาหุ้น BBL ปรับขึ้น 2.96% และราคาหุ้น KTB ปรับลง 1.08% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 1.03%
แนวโน้มผลประกอบการ 2567:
กำไรของกลุ่มธนาคารคาดว่าจะเติบโตในอัตราชะลอตัวลงจาก 21% ในปี 2566 สู่ 8% ในปี 2567 โดยมีสาเหตุมาจาก NIM ที่ขยายตัวน้อยลง เมื่อใช้สมมติฐานว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวอยู่ที่ 2.5% ในปี 2567 และคาดว่า NIM ใน 1Q67-4Q67 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดใน 4Q66 ซึ่งบ่งชี้ว่า NIM ปี 2567 จะปรับตัวดีขึ้น 11 bps โดยในปี 2567 ขณะที่คาดว่า Credit Cost จะลดลงเล็กน้อย การเติบโตของสินเชื่อจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ 4% (อิงกับประมาณการ GDP Growth ที่ 3-4%) และรายได้ค่าธรรมเนียมจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนจะฟื้นตัวเล็กน้อย
หุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร ยังคงเลือก BBL (เรตติ้ง Outperform, ราคาเป้าหมาย 210 บาท) และ KTB (เรตติ้ง Outperform, ราคาเป้าหมาย 25 บาท) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร โดยได้รับการสนับสนุนจาก Valuation ที่น่าสนใจ และความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
- ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง
- การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง
- Non-NII ได้รับแรงกดดันจากตลาดทุนที่ผันผวนและแนวโน้มที่ ธปท. จะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น
- ความเสี่ยงด้าน ESG เกี่ยวกับการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct)