เมื่อเราพูดถึง ‘ประวัติศาสตร์ของแบรนด์’ หลายคนอาจจะคิดถึงเพียงแค่เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาของแบรนด์นั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประวัติศาสตร์ของแบรนด์มีความหมายและความสำคัญที่ลึกซึ้งกว่ามาก เพราะนี่คือเส้นทางการเดินทาง ความฝัน และความมุ่งมั่น ที่แบรนด์นั้นได้ผ่านมา
ต้องยอมรับว่าการใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นว่าเราได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ซึ่งประวัติศาสตร์ของแบรนด์เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสร้างความเชื่อมั่นนั้น
ทุกครั้งที่เราได้รับรู้ถึงเรื่องราวของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มทำธุรกิจหรือการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก เรื่องราวเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกว่าแบรนด์มีความมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างเรา เสมือนเป็นเพื่อนที่คอยสนับสนุนกัน
Neo Corporate เบื้องหลังผู้สร้างแบรนด์สินค้าอุปโภคที่อยู่รอบตัวคนไทย
ซึ่งหนึ่งในผู้สร้างแบรนด์สินค้าอุปโภคที่เรากำลังจะชวนมาทำความรู้จักในวันนี้คือ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นทุกสินค้าที่ออกมาจึงมีเป้าหมายเพื่อช่วยดูแลชีวิตประจำวันของคนไทยให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
หากเอ่ยชื่อว่า Neo Corporate หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าพูดถึงสินค้ายอดนิยมที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น Fineline, BeNice, D-nee, Eversense, TROS, Vivite, Smart และ Tomi เหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้ Neo Corporate ทั้งสิ้น
จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2532 โดยมีปณิธานที่จะพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลายในราคาที่เหมาะสมให้แก่ผู้บริโภค โดยที่ผ่านมา NEO มีการขยายไลน์สินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการสร้างสรรค์แบรนด์ใหม่ๆ และการเพิ่มประเภทของสินค้าในแต่ละแบรนด์ เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการและเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในทุกช่วงอายุ
ภายใต้ Neo Corporate ได้มีการทำการตลาดรวมถึงผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคภายใต้แบรนด์ชั้นนำของคนไทยที่ครอบคลุม 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนภายใต้แบรนด์ Fineline, Smart และ Tomi
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลภายใต้แบรนด์ BeNice, TROS, Eversense และ Vivite
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็กภายใต้แบรนด์ D-nee
สิ่งที่น่าสนใจคือ Neo Corporate มองเห็นความสำคัญของการเป็นผู้นำที่ไม่หยุดนิ่งในการนำเสนอนวัตกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค อีกทั้งยังมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา เพื่อมองหาโอกาสในการสร้างสรรค์สินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทันท่วงที
ทั้งหมดได้สะท้อนออกมาเป็นความสำเร็จของแบรนด์ที่ขึ้นเป็นผู้นำตลาดในทันทีที่เข้าสู่ตลาด ไล่มาตั้งแต่ปี 2532 ที่ได้ผลิตผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลประเภทโคโลญสำหรับผู้หญิงภายใต้แบรนด์ Eversense ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ให้ความหอมสดชื่นยาวนานตลอดวัน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์โคโลญได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมากและมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของสินค้าวัยรุ่นหญิงในทันทีที่ออกสู่ตลาด
ต่อมาได้แนะนำผลิตภัณฑ์โคโลญและโรลออนสำหรับผู้ชายภายใต้แบรนด์ TROS เข้าสู่ตลาด โดย TROS เป็นโคโลญผู้ชายแบรนด์แรกของประเทศไทย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงทันทีและคงความเป็นอันดับ 1 มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
หลังจากนั้น NEO ได้ขยายสินค้าเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนภายใต้แบรนด์ Fineline โดยมุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบมากกว่าผลิตภัณฑ์อัดกลีบผ้าซึ่งเป็นที่นิยมในขณะนั้น เนื่องจากเล็งเห็นไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคและประเภทของเนื้อผ้าที่ใช้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์อัดกลีบอีกต่อไป ประกอบกับการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์แบบถุง Pouch (ชนิดซองสำหรับเติม) เป็นรายแรกในประเทศไทย ซึ่งราคาถูกกว่าและประหยัดพื้นที่ในการเก็บ ส่งผลให้ Fineline เป็นเจ้าตลาดผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบและอัดกลีบภายใน 2-3 ปีแรกมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นตัว Fineline เองได้ขยายประเภทสินค้าเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำ (Delicate Wash) และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค ซึ่งเมื่อเห็นเซกเมนต์ที่เป็นโอกาสทางการตลาด Fineline จึงได้เริ่มผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำสูตรเข้มข้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนจากการใช้ผงซักฟอกมาเป็นผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นที่น่าภาคภูมิใจ
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำของบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 โดยเป็นแบรนด์เดียวที่ไม่มีฐานของผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดผงซักฟอกมาก่อน และได้ขยายสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม โดยเริ่มผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ Fineline
ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม จึงได้เริ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้นพิเศษออกสู่ตลาดด้วย อย่างที่บอกว่าการตอบโจทย์ผู้บริโภคเป็นสิ่งที่ Neo Corporate ให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นในฐานะผลิตภัณฑ์ Fineline รีดผ้าเรียบ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศมาตลอด จึงได้นำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์รีดผ้าสำหรับเตารีดไอน้ำให้กับผู้บริโภค ซึ่งสร้างความแปลกใหม่และช่วยกระตุ้นตลาดได้อย่างน่าพอใจ รวมถึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเติบโตสูงต่อเนื่องมาโดยตลอด
ในปี 2540 Neo Corporate ออกผลิตภัณฑ์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือ D-nee ผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก ที่หลังจากวางขายก็มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ภายในปีแรกที่นำเสนอ เรียกว่าเร็วมากๆ สำหรับการเป็นน้องใหม่ในตลาด
ซึ่งจากความสำเร็จในผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก จึงขยายสินค้าเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก เช่น ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและสระผม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเด็ก
นอกจากนี้ยังสร้างเซกเมนต์ใหม่ในตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็กวัย 3 ขวบขึ้นไปในภายใต้ชื่อ D-nee Kids ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
หลังความสำเร็จของ D-nee บริษัทได้ขยายไลน์สินค้าเข้าสู่ตลาดโรลออนผู้หญิงภายใต้แบรนด์ Vivite ด้วยจุดขายโรลออนที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ติดทนนานและอ่อนโยนต่อผิว โดยผ่านการทดสอบจากสถาบันผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณจากสถาบันแพทย์ผิวหนังชั้นนำว่าไม่ก่อการระคายเคือง
ในปี 2545 Neo Corporate เริ่มผลิตและจัดจำหน่ายครีมอาบน้ำภายใต้แบรนด์ BeNice โดยมีจุดขายที่โดดเด่นและแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาดคือ ส่วนผสมที่มีสารสกัดเข้มข้นจากผลไม้ พร้อมกลิ่นหอมจากผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ และเทคโนโลยี Double Firming ที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ Wheat Protein และ Micro Collagen ช่วยในการกระชับผิวด้วย
ต่อมา Neo Corporate ได้ทำการตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ Smart ที่มีจุดขายในด้าน Anti-Bacteria เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค
และในปี 2553 Neo Corporate ได้ทำการตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวภายในบ้านภายใต้แบรนด์ Tomi โดยผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นในด้านประสิทธิภาพในการทำความสะอาด สามารถจับฝุ่น ลดคราบเหนียวและรอยเปื้อนต่างๆ ได้ โดยใช้สารทำความสะอาดที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งประสบความสำเร็จ โดยสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 2 ของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นได้ในปี 2565
ไม่เคยหยุดนิ่งในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้
Neo Corporate ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการเสริมสร้างประสบการณ์ลูกค้าและการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
ไล่มาตั้งแต่เริ่มใช้ระบบจัดการทรัพยากรองค์กร ERP (Enterprise Resource Planning) ของ SAP เพื่อรองรับปริมาณยอดขายและการดำเนินงานที่สูงขึ้นอย่างมาก
โดยในปี 2559 NEO ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าใหม่ที่คลอง 13 อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยมีเนื้อที่ 185 ไร่ เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเติบโตขึ้นตามยอดขายของบริษัท โดยโรงงานใหม่สามารถผลิตได้เพิ่มขึ้น 97% จากกำลังการผลิตเดิม ตลอดจนมีการนำ Lean Management Project มาใช้ในกลุ่มบริษัท เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเปลี่ยนระบบ SAP-Database จาก Database Oracle เป็น Database HANA
ในปี 2561 โรงงานและคลังสินค้าใหม่ที่คลอง 13 พร้อมใช้งาน บริษัทเริ่มย้ายโรงงานและคลังสินค้าไปที่โรงงานใหม่ โดยคลังสินค้าดังกล่าวได้นำระบบ ASRS มาใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งเป็นการจัดการสินค้าโดยใช้ AI ควบคุม
หลังจากนั้นในปี 2564 เมื่อทราบว่าตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำ ขนาด 1,300-1,400 มิลลิลิตร มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในฐานะหนึ่งในผู้นำตลาดจึงต้องการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ และนำเทคโนโลยีระดับสูงมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดถุงเติม รุ่นหัว Spout เพื่อช่วยรองรับการเติบโตของตลาดได้อย่างทันท่วงที
ปีถัดมาได้นำระบบเทคโนโลยีแบบใหม่ล่าสุดเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้า เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและแม่นยำสูงสุด
Neo Corporate ยังให้ความสำคัญกับการสร้างคุณภาพสินค้าและจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง เป็นที่มาของการจัดตั้ง R&D Center โดยระดมผู้เชี่ยวชาญในแต่ละส่วนงาน รวมทั้งจับมือกับคู่ค้าระดับโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ดีที่สุดและยกระดับมาตรฐานการผลิตระดับสูง โดยคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเจตนารมณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจนถึงปัจจุบัน เพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์คุณภาพที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด
เวลา
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า Neo Corporate ยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดและผลักดันเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมุ่งหวังที่จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและเป็นผู้นำที่ไม่มีใครเทียบได้ในอุตสาหกรรม FMCG ณ ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนผ่าน
Neo Corporate ได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไม่เพียงแค่นำเสนอสินค้า FMCG แต่ยังขับเคลื่อนและนำพาอุตสาหกรรมนี้สู่อนาคตที่สดใสด้วยนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง