เกิดอะไรขึ้น:
สรุปผลประกอบการ 3Q66 ของ บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ (ACE) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 317 ล้านบาท (ลดลง 17%YoY แต่ทรงตัว QoQ) โดยได้รับการสนับสนุนจากกำไรที่สูงขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล แต่ถูกลดทอนโดยกำไรจากอัตรากำไรแลกเปลี่ยนที่ลดลงสู่ 40 ล้านบาท เทียบกับ 114 ล้านบาทใน 3Q65 และ 63 ล้านบาทใน 2Q66 กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติลดลง 6%YoY (แม้เพิ่มขึ้น 7%QoQ) โดยมีสาเหตุมาจากอัตรากำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้า MSW สืบเนื่องมาจากการหยุดซ่อมบำรุงและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
กำไรสุทธิงวด 9M66 อยู่ที่ 908 ล้านบาท (72% ของประมาณการกำไรเต็มปี) ลดลง 16.6%YoY โดยกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติลดลง 12.4%YoY เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงมากกว่าปีก่อน (ส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล) และค่าใช้จ่ายทางการเงินที่สูงขึ้นจากการกู้ยืมมากขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการใหม่
สำหรับแนวโน้ม 4Q66 และปี 2567 InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้น QoQ ใน 4Q66 อันเป็นผลมาจากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้า MSW เพราะ Capacity Factor สูงขึ้น โครงการโรงไฟฟ้า MSW มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงที่สุดในพอร์ตของ ACE โดยอยู่ที่ราว 55% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ 30% กำลังการผลิตดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า MSW จะถูกเพิ่มเข้าไปในพอร์ตในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรวม 18.9 MW เมื่อรวมกับโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพบางแห่งภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งคาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 11% ในปี 2567
ทั้งนี้ หลังจากรอคอยมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่ ACE เริ่มการซื้อ-ขายในตลาดฯ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้คืนสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP จำนวน 8 โครงการเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งโครงการที่ ACE จะซื้อมาจากเจ้าของปัจจุบันเมื่อได้ PPA คืนด้วย โดยรวมแล้วกำลังการผลิตติดตั้งที่ดำเนินงานแล้วของ ACE จะเพิ่มขึ้น 89.1 MW ภายในเดือนธันวาคม 2569 หรือ 3 ปีหลังจากลงนามใน PPA
อย่างไรก็ตาม PPA ของโครงการ SPP Hybrid จำนวน 2 โครงการ (กำลังการผลิตติดตั้งรวม 50 MW) ถูกบอกเลิกเนื่องจากเหตุสุดวิสัย และ กฟผ. จะคืนหลักประกันจำนวน 344 ล้านบาท ซึ่งประเมินมูลค่าส่วนเพิ่มของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP เหล่านี้ได้ที่ราว 0.2 บาทต่อหุ้น โดยใช้สมมติฐานว่าทุกโครงการเริ่มดำเนินการในปี 2570 หลังจากใช้เวลาพัฒนา 36 เดือน
ด้านฐานะทางการเงิน ACE ยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.4 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนอยู่ที่เพียง 0.3 เท่า ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทยังสามารถกู้ยืมเพิ่มได้อีกเกือบ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนในกำลังการผลิตใหม่ในปี 2567-2570
ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ 18 โครงการ (กำลังการผลิตติดตั้ง 59 MW) โครงการโรงไฟฟ้า MSW ใหม่ 2 โครงการ (18.9 MW) และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP จำนวน 9 โครงการ (89.1 MW) ACE ยังคงรอ PPA มากกว่า 112.73 MW ในโครงการโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งมีกำหนดเริ่มดำเนินการในปี 2567-2570 การลงทุนเหล่านี้จะต้องใช้เงิน 2 หมื่นล้านบาทในระยะ 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทอาจจะยังไม่กลับมาจ่ายเงินปันผลในอนาคตอันใกล้นี้
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น ACE ปรับลง 3.95%MoM สู่ระดับ 1.46 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 2.55%MoM สู่ระดับ 1,383.54 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
ราคาหุ้น ACE ปรับตัวลดลง 46%YTD Underperform SET (ลดลง 17%) สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบของตลาดต่อแนวโน้มการเติบโตของบริษัท เนื่องจากการพัฒนาโครงการใหม่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก และกรอบเวลาที่ไม่แน่นอนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ ใน Pipeline
แม้เชื่อว่าตลาดมีมุมมองเชิงลบต่อ ACE มากเกินไป เนื่องจาก กฟภ. ได้คืน PPA ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP เรียบร้อยแล้วหลังจากดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างยาวนาน แต่ตลาดมีแนวโน้มที่จะยังคงไม่ให้ความสนใจกับหุ้นโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายและการแทรกแซงของรัฐบาล
นอกจากนี้เชื่อว่าจะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกำไรในระยะยาวของ ACE ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในตลาดไทย อย่างน้อยจนกว่าโครงการใน Pipeline จะเริ่มดำเนินการ
InnovestX Research ยังคงเรตติ้ง Neutral สำหรับ ACE ด้วยราคาเป้าหมาย 3.6 บาทต่อหุ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP ซึ่งจะทำให้ต้องเลื่อนการเปิดดำเนินการและกระแสเงินสดเข้ามาล่าช้า ต้นทุนวัตถุดิบของโรงไฟฟ้าชีวมวลสูงกว่าคาด ต้นทุนการลงทุนสูงกว่าคาด และการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและทำให้รายจ่ายฝ่ายทุนเพิ่มขึ้น
