วันนี้ (24 พฤศจิกายน) บนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2023 ในหัวข้อ Thailand’s Political Power Game อ่านเกมอำนาจใหม่การเมืองไทย ซึ่งมี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมืองกลืนชนบท กลบทฤษฎี 2 นคราประชาธิปไตย
ศ.ดร.สิริพรรณกล่าวถึงการทำวิจัยทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง ผลสะท้อนและตอกย้ำความเข้าใจของสาธารณชนอยู่แล้ว แต่อาจจะชี้ให้เห็นความละเอียดและความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น โดยอธิบายภาพรวมดังนี้
ถ้าเราดูประชากรไทย คนอายุ 18 ปีจะเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 8 แสนคน และทุกๆ 4 ปีก็เพิ่มขึ้น 3.2 ล้านคน ที่มีการพูดว่าประชากรลดลงนั้น ประชากรลดลงอย่างมีนัยสำคัญตอนปี 2565 ที่เหลือ 4 แสนคน แต่อย่างไรก็ตามตัวเลข 8 แสนจะยังคงอยู่อีกราว 12 ปี ซึ่งก้าวไกลจะได้ประโยชน์จากตรงนี้
โดยคนอายุ 18-25 ปีจะเป็นไปโดยอัตโนมัติที่เขาจะมองว่าพรรคก้าวไกลคือความหวัง อีกทั้งการเติบโตของเมืองมันกลืนกินความเป็นชนบทมากยิ่งขึ้น ทำให้ทฤษฎีความเป็น 2 นคราประชาธิปไตยรางเลือนลง และตัวแปรเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงาน โซเชียลมีเดียสร้างความผูกพันใหม่ทางการเมือง ซึ่งเราเสพมันทุกที่ เราจะเห็นว่าผู้สมัครเหมือนคนคุ้นเคยกับเรา มีผลมากกับผลการเลือกตั้งที่ออกมา
ก้าวไกลดิสรัปต์การเมืองอุปถัมภ์
ธนาธรกล่าวว่า พรรคก้าวไกลได้ดิสรัปต์การเมืองไปแล้ว นั่นคือการเมืองที่ไม่พึ่งพิงระบบอุปถัมภ์ในพื้นที่ และกราฟผลการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลก็ชี้ให้เห็นว่าคะแนนของพรรคสูงกว่าคะแนนของผู้สมัคร มีเพียง 4 เขตเลือกตั้งเท่านั้นที่คะแนนผู้สมัครสูงกว่าคะแนนพรรค
ธนาธรยกตัวอย่างคะแนนเลือกตั้งใน 2 จังหวัดคือ บุรีรัมย์ และสุพรรณบุรี ที่มีระบบอุปถัมภ์ค่อนข้างมาก ซึ่งปรากฏว่าพรรคก้าวไกลคะแนนปาร์ตี้ลิสต์สูงที่สุดในทั้ง 2 จังหวัด สามารถเอาชนะระบบอุปถัมภ์ได้ในรอบนี้ในระบบบัญชีรายชื่อ
สำหรับ 3 พรรคเมืองที่มีคะแนนบัญชีรายชื่อมากกว่าคะแนนเขตคือ พรรคก้าวไกล เพื่อไทย และรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติคือตัวแทนของพรรคที่ปกป้องสถาบันฯ ปกป้องจารีตแบบเดิม ส่วนพรรคเพื่อไทยคือการเชิดชูผลงานในอดีต และพรรคก้าวไกลคือตัวแทนแนวคิดก้าวหน้า หมายความว่าต้องเป็นพรรคที่มีจุดยืนชัดเจน นโยบายชัดเจนถึงจะมีคะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากกว่าคะแนนเขต
“พรรคก้าวไกลยังเติบโตได้อีก งูเห่าของพรรคอนาคตใหม่สอบตกทุกคน สส. เขตอนาคตใหม่ทุกคนที่มาลงต่อกับก้าวไกลป้องกันตำแหน่งได้ทุกคน เขตที่พรรคก้าวไกลเป็นที่ 2 และห่างกับที่ 1 ไม่ถึงหมื่นคะแนนมีถึง 37 เขต ซึ่งเป็นเขตที่มีโอกาสช่วงชิงได้” ธนาธรกล่าว
ประยุทธ์หัวคะแนน(ฝืน)ธรรมชาติของก้าวไกล
ณัฐวุฒิกล่าวว่า การประกาศเป้าหมายแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย เป็นเป้าหมายที่มุ่งมั่นแท้จริงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ณัฐวุฒิระบุว่า หากเทียบพรรคเพื่อไทยกับองค์กรธุรกิจก็เหมือนองค์กรใหญ่ที่ยึดติดความสำเร็จเดิมมายาวนาน เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงขาดความคล่องตัว อย่างเรื่องเวทีดีเบตที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชน แต่พรรคก็วางคิวปราศรัยไปแล้ว แม้จะมีการให้เปลี่ยนตัวคนที่สามารถตรึงเวทีดีเบตในช่วงหลัง แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“การเลือกตั้งที่ผ่านมามีเงื่อนไขพิเศษ คือคนต้องการเปลี่ยนแปลง ถ้าใครอยู่กับนายกฯ พล.อ. ประยุทธ์มา 9 ปี แล้วไม่อยากเปลี่ยนแปลง ผมว่าท่านนั้นมีความอดทนสูงมากและควรได้รับการยกย่อง” ณัฐวุฒิกล่าว
ดังนั้นเมื่อพูดถึงนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายที่เป็นจุดเด่นของพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็มีทุกพรรคประกาศและนำเสนอจนคนเลือกตาลาย แต่พรรคก้าวไกลมีนโยบายอีกมุมหนึ่งที่ชัดเจนและตอบโจทย์ความต้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชนส่วนใหญ่ได้
พรรคก้าวไกลมีหัวคะแนนธรรมชาติ และมีหัวคะแนนที่ฝืนธรรมชาติคือ พล.อ. ประยุทธ์และพวก ดังนั้นมันฝืนกับความรู้สึกคนที่อยากเปลี่ยนแปลง จึงจบที่มีลุง ไม่มีเรา
ณัฐวุฒิมองว่าพรรคเพื่อไทยต้องปรับ คือต้องคล่องตัว และบางเรื่องต้องชัดเจน แต่ในเวลานั้นคนในพรรคเขาประเมินแบบนี้ แม้ตนเองจะอยู่ในข้างที่ชัดเจน แต่ระดับนำของพรรคไปในทิศทางนี้ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ก้าวไกล-เพื่อไทย พันธมิตรของกันและกัน
ธนาธรกล่าวว่า ความเจ็บปวด เจ็บแค้นพรรคเพื่อไทยที่ปล่อยมือพรรคก้าวไกลแล้วไปจับมือกับพรรคอื่นตั้งรัฐบาล 24 ชั่วโมงก็หายแล้ว แต่เสียดายอนาคตของประเทศไทยที่เราจะได้ผลักดันประชาธิปไตย ผลักดันเรื่องการกระจายอำนาจ ต่อสู้ทุนผูกขาด หรือแม้แต่การปฏิรูปกองทัพ อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะไม่มีเงื่อนไข สว. ร่วมเลือกนายกฯ น่าจะมีทิศทางที่ดีมากขึ้น
แต่ปัญหาคือพรรคก้าวไกลจะจับมือกับใคร จึงเน้นย้ำว่า พรรคเพื่อไทยคือพันธมิตรของพรรคก้าวไกล คนที่มีความสุขที่สุดในเวลานี้ที่ทั้ง 2 พรรคขัดแย้งกันคือ กลุ่มอำมาตย์
“เพื่อไทยควรจะเป็นพันธมิตรทางการเมืองของพรรคก้าวไกล
“วันนี้สำหรับก้าวไกลแข็งแกร่งพอหรือยัง คุณกล้าเผชิญหน้ากับอำนาจ จารีต กองทัพ กลุ่มทุนผูกขาดโดยลำพังด้วยตัวคุณเองหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะฉะนั้นพันธมิตรนี้ถึงสำคัญ”
พูดแบบนี้ตระหนักดีว่าต้องโดนโหวตเตอร์ก้าวไกลด่า แต่ต้องกระตุกขากางเกงให้รับรู้ว่าวันนี้ก้าวไกลเข้มแข็งพอหรือยังที่จะเผชิญกับอำนาจจารีต ทุนผูกขาดโดยโดดเดี่ยวหรือยัง ส่วนตัวคิดว่าไม่
ขณะที่ณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า แม้พรรคเพื่อไทยบรรลุเป้าหมายแลนด์สไลด์ก็จะเป็นพรรครัฐบาลผสม เพราะประเทศนี้ไม่อนุญาตให้พรรคไหนโดดเด่นตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ณัฐวุฒิระบุว่า เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ ถ้าประชาชนเห็นว่าการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยที่จัดตั้งรัฐบาลแบบนั้นเป็นเรื่องที่ผิดก็ต้องยอมรับ อย่างไรก็ตามเห็นว่าพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นมิตรกันอย่างแท้จริง ดังนั้นอะไรที่พอจะทำร่วมกันได้ก็ลองพูดคุยกันดู และต้องยอมรับว่าประเทศไทยนี้มีทั้งอนุรักษนิยมและเสรีนิยม ไม่เห็นว่ามีประเทศไหนที่จะล้างกันหมดให้เหลือเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ในช่วงท้ายของคำถามนี้ ธนาธรกล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา หลังจากที่พรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ฉากทัศน์รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยมีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเป็นฉากทัศน์ที่ไม่เคยมีการเจรจา และไม่มีความพยายามที่จะลอง และฉากทัศน์นี้ก็ไม่ได้ถูกเลือก
อย่างไรก็ตามธนาธรยังกล่าวด้วยว่าอยากให้แกนนำของทั้ง 2 พรรค ทั้งก้าวไกลและเพื่อไทยหันกลับมามอง หยุดการห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย หยุดสร้างความเกลียดชังกัน แล้วมาผลักดันวาระร่วมกัน เช่น สมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า ส่วนวาระไหนที่ไปด้วยกันไม่ได้ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ก็ค้านกันด้วยเหตุผล ไม่ใช้ท่าทีที่กระแหนะกระแหนเสียดสี
ขณะที่สิริพรรณกล่าวว่า สว. เหมือนผู้รักษาประตู เพราะ สว. ทำให้เพื่อไทยและก้าวไกลจับมือกันไม่ได้ แต่ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้าไม่มี สว. เพื่อไทยกับก้าวไกลจะจับมือกันเป็นรัฐบาลได้จริงหรือ ซึ่งตนเองคิดว่าที่ผ่านมาถ้าไม่มี สว. ก็ไม่น่าจะจับมือกันตั้งรัฐบาล เพราะการเมืองแบบก้าวไกลสร้างความหวังที่ชัดเจน ในขณะเดียวกันก็สร้างความกลัวให้กับคนกลุ่มหนึ่ง ถ้าเราอยากเห็นประเทศไทยเดินต่อ จะทำอย่างไรให้เห็นถึงความประนีประนอมกับอนุรักษนิยม ลดเพดานได้หรือไม่
ขณะที่ธนาธรระบุว่า พรรคก้าวไกลพร้อมประนีประนอมและเจรจา แต่ที่ผ่านมาไม่มีการเจรจาประนีประนอม
สิริพรรณกล่าวต่อว่า ดังนั้นบรรทัดฐานที่จะเกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้าคือพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีพรรคไหนเป็นพรรคเด่นพรรคเดียว
ตัวแปรการเมือง ทักษิณพ้นโทษ-สว. หมดอำนาจเลือกนายกฯ
ณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับกรณี สว. หมดอำนาจ ในการเลือกนายกรัฐมนตรี การเมือง เมื่อถึงตรงนั้นตนเชื่อว่าจะมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่เพื่อให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลโดยปลอดอำนาจของ สว. ที่จะร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ผลที่สุดคิดว่าคงไม่มีการยุบสภา
ส่วนกรณีทักษิณพ้นโทษนั้น ต้องอย่าลืมว่าทักษิณยังมีผลต่อการเมืองไทย เป็นผู้เล่นคนสำคัญมาตลอด ความเป็นทักษิณไม่ได้ถูกโค่นล้มในการรัฐประหาร 2549 แต่อย่างใด พลานุภาพของทักษิณก็ยังมีผลกับการตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทย ต้องรอดูหลังทักษิณจะพ้นโทษมาในรูปแบบใด จะพ้นโทษแล้วออกจากการเมือง หรือจะมาหนุนเสริมพรรคเพื่อไทยที่มีลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคก็จะเป็นอีกแบบ
ธนาธรกล่าวว่า การที่ สว. หมดอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจ ตั้งใจทำงาน เก็บเกี่ยวความรู้ เสนอแนะรัฐบาลให้ดีที่สุด ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากที่คุณควบคุมได้ไม่ต้องสนใจ สมมติว่ารัฐบาลต้องฟอร์มใหม่จริงๆ ก็ต้องกลับไปถามว่าเราต้องร่วมกันผลักดันอะไรให้สังคม
สิริพรรณระบุว่า กรอบการเมืองใหญ่ในปีหน้า คือเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ นี่คือตัวแปรกติกาประชาธิปไตยในสังคมไทย เพราะฉะนั้นที่หลายคนมองว่าพรรคเพื่อไทยเข้าสู่อำนาจแบบไม่สง่างามก็จะต้องถูกจับตาว่าจะมีผลผลิตทางประชาธิปไตยหรือไม่ และเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าพรรคเพื่อไทยจริงใจและจริงจังแค่ไหน
เราต้องตั้งให้ดีกว่า การที่พรรคเพื่อไทยผิดคำสัญญา พรรคเพื่อไทยควรถูกลงโทษในทางการเมือง แต่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำให้ประเทศหลุดออกจากเส้นทางประชาธิปไตยโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามเรายังคงต้องเชื่อมั่นในความเป็นพรรคการเมือง ความเป็นสถาบันพรรคการเมือง
การเมืองไทยจะไปต่ออย่างไร
ธนาธรกล่าวว่า หลายคนจะพูดว่าทำแบบก้าวไกลไม่มีทางสำเร็จ หรือให้ก้าวไกลเบาหน่อยถึงจะมีทางสำเร็จ ตนขอยกตัวอย่างไทยรักไทยไม่เคยพูดเรื่องปฏิรูปสถาบันฯ ก็ถูกรัฐประหาร รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ประนีประนอม ก็โดนรัฐประหาร
พรรคอนาคตใหม่ก็กัดฟันไม่พูดเรื่องการแก้ประมวลกฎหมาย 112 และการปฏิรูปสถาบันฯ ก็ยังถูกยุบพรรค ทางเดียวที่จะแก้ได้คือการพูดเรื่องต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา ให้ประชาชนเข้าใจปัญหาแล้วเดินไปด้วยกัน การทำอย่างอื่นต่างหากที่จะโดนบดขยี้และสู้ไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นกลไกเดียวที่เรามีคือการเลือกตั้งซึ่งเป็นกลไกที่สันติ รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจและลงคะแนนให้เรา คือเครื่องมือเดียวที่เรามี ดังนั้นจึงขอปกป้องการพูดเรื่องปฏิรูปกองทัพ การปฏิรูปสถาบันฯ ในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา คิดว่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้จำเป็นสำหรับสังคมไทย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า สิ่งที่ตนอยากให้เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง 2566 คือสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ อย่างการออกกฎหมายนิรโทษกรรม และการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ กฎหมายต่างๆ ที่ก้าวหน้า และกฎหมายที่คุ้มครองอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนต้องเกิด โดยเฉพาะการใช้อำนาจรัฐปราบปรามประชาชนและลอยนวลพ้นผิดต้องไม่เกิดขึ้น
“ผมขอเสนอและเรียกร้องให้อำนาจรัฐและกระบวนการของฝ่ายค้านปัจจุบันจับมือกันผลักดันวาระนิรโทษกรรมผู้ต้องหา ผู้ต้องคดีความ ผู้ต้องจำขังทางการเมืองทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกค่าย ทุกสี ทุกบทบัญญัติ ทุกมาตรากฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้น ถ้าจะเว้นข้อเดียวคือเรื่องทุจริตคอร์รัปชันและความผิดถึงแก่ชีวิต”
ณัฐวุฒิกล่าวว่า การปล่อยคนหนุ่มคนสาวยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเผชิญหน้ากับกฎหมายมาตราใดมาตราหนึ่งเพียงลำพัง ไม่สามารถจะทำให้สังคมไทยทั้งสังคมเดินหน้าได้จริง จะต้องไม่มียุคสมัยใดถูกจำขังเพราะความคิดที่แตกต่าง จะต้องไม่มียุคสมัยใดถูกโบยตีเพียงเพราะเขาเห็นไม่ตรงกับอำนาจรัฐ
และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะปรองดองอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเงื่อนไขการเมืองปัจจุบันที่แต่ละฝ่ายเลือนรางไปหมดแล้วว่าใครเคยอยู่ฝ่ายไหน มาสู้กันในกติกาในแบบที่ควรจะเป็น
ดังนั้นเมื่อเรานิรโทษกรรมไปแล้ว ก็ต้องวางกลไกลดแรงเสียดทานให้มีความยุติธรรมและมีหลักนิติธรรมให้มากที่สุด อยากให้คนลี้ภัยไปไกลบ้านได้เห็นว่าบ้านหลังนี้ได้เปิดต้อนรับการกลับมา ส่วนเขาจะกลับหรือไม่กลับก็เป็นเสรีภาพของแต่ละคน
📌อัปเดตเทรนด์โลกกว่า 20+ Sessions ซื้อบัตรชมย้อนหลังได้ที่ https://bit.ly/TSEF2023ED
✅ ราคาพิเศษ! 2,500 บาท ถึง 31 ธันวาคม 2566 เท่านั้น
✅ รับชมออนไลน์ทุกที่ทั่วโลก
✅ ดูย้อนหลังนาน 6 เดือน (1 ธันวาคม 2566 – 31 พฤษภาคม 2567)
✅ สรุปเนื้อหา Visual Summary ทุกเวที
Media Partner
📌รับสรุปเนื้อหาทุกเวที 20+ Sessions
ซื้อบัตรชมย้อนหลังวันนี้ดูได้นานถึง 6 เดือน