สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET ฟื้นตัวกลับอย่างโดดเด่น หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนตุลาคม +3.2%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ +3.3%YoY และลดลงจากเดือนกันยายน ที่ +3.7%YoY ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของสหรัฐฯ เดือนตุลาคม +4.0%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ +4.1%YoY และลดลงจากเดือนกันยายนที่ +4.1%YoY เช่นเดียวกับดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ลดลง 0.5%MoM ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 สวนทางตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ส่วนยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมลดลง 0.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดคาดหวังการยุติวงจรปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และอาจเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 100% ที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม และคาดว่า Fed จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งเร็วกว่าเดิมที่คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2567 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลง และดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า หนุน SET ฟื้นตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,400 จุด ได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ แม้ตลาดหุ้นไทยจะยังคงเผชิญความผันผวนสูง แต่ช่วงสั้นคาด SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อ และมองจะสามารถขึ้นทะลุบริเวณจุดสูงเดิม 1,432 จุดได้ โดยมีแนวเป้าหมายบริเวณ 1,434-1,440 และ 1,450-1,455 จุด ตามลำดับ จากเงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจสำคัญของโลกออกมาชะลอตัว สร้างความหวังต่อการยุตินโยบายการเงินที่ตึงตัวของธนาคารกลางสำคัญต่างๆ ของโลก และตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการทั่วโลกไม่แย่กว่าที่ตลาดกังวล
อีกทั้งในประเทศได้ Sentiment บวกในการจัดตั้งกองทุน TESG โดยลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ที่มี ESG หวังกระตุ้นการลงทุนใน ตลท. ระยะยาว โดยให้ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ระยะถือครอง 8 ปี เริ่มลงทุนได้ธันวาคมนี้ คาดมีเม็ดเงินเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในอดีตที่คลังเคยอนุมัติ SSF เฉพาะกิจ (SSFX) ในช่วงโควิด ให้ลงทุนในหลักทรัพย์ไทยไม่น้อยกว่า 65% โดยให้ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 2 แสนบาทต่อปี ระยะถือครอง 8 ปี เริ่มลงทุนได้ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน มีเม็ดเงินเข้ามาราว 2 หมื่นล้านบาท และ SET Index ปรับขึ้นกว่า 200 จุด
ด้านหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้
- ได้ ESG Rating ‘AAA’ หรือ ‘AA’
- ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง YTD พบว่ามี 5 หุ้นที่น่าสนใจ ซึ่งคาดว่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุน ได้แก่ TOP, CRC, SCGP, GULF และ ZEN
นอกจากนี้ แนะนำกลุ่มหุ้นในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
- หุ้น Big Cap ที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ตามตลาดและมีความผันผวนต่ำ โดยเลือกหุ้น Undervalued ซึ่งราคาปรับลงมาจนเข้าเขต Oversold และยังมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก BDMS, BEM, BBL, GULF และ SCGP
- หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไร 4Q66 จะยังเติบโต YoY และเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี เลือก ERW, AOT, CENTEL, ZEN และ CRC
ส่วนสุดท้ายนี้ ให้ระวังในภาพระยะกลางในหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคการเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC, SAWAD), กลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY), กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) และกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF, GFPT, BTG)
- รวมทุกช่องทาง InnovestX Official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก: https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/bywa6d5r
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก: https://bit.ly/respublisher