**บทความนี้ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ เป็นเพียงการวิเคราะห์ความโดดเด่นและการให้น้ำหนักของตัวละครที่อาจเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องบางส่วน (ที่มีการเปิดเผยมาแล้ว) เท่านั้น**
ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาของตัวละครในเรื่อง ถ้าไม่นับความคาดหวังที่สูงลิ่วจากคนดูทั้งโลก เราคิดว่า Avengers: Infinity War ทำออกมาได้ตามมาตรฐานมาร์เวลอย่างไม่น่าเกลียดเท่าไรนัก
กล่าวคือยังเป็นหนังที่ดูสนุก มีเส้นเรื่องที่น่าสนใจ มีฉากแอ็กชันไหลลื่นสวยงาม มีอาวุธใหม่ๆ มาทำให้คนดูตื่นเต้นได้เหมือนก่อน ติดเพียงอย่างเดียวว่าการจะรวบรวมตัวละครในจักรวาลมาร์เวลหลายสิบตัวที่สร้างขึ้นมาจากหนัง 18 เรื่องตลอดเวลา 10 ปี คงเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปในการรักษาความโดดเด่นทั้งหมดเอาไว้ให้ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที
มีหลายประเด็นในหนังที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจ เป็นปมลึกๆ ของตัวละครที่หม่น เศร้า ดาร์ก และหลากหลาย มันช่วยเพิ่มมิติให้หลายตัวละครมีความน่าสนใจขึ้นมาได้ แต่ตัวหนังกลับไม่ได้มีเวลาในการนำเสนอมากนัก ทำให้มีหลายช่วงที่ชวนอึดอัดตะขิดตะขวงใจกับการตัดสินใจของซูเปอร์ฮีโร่ที่เรารัก รวมทั้งถ้าไม่ได้มีพื้นฐานในการดูหนังในจักรวาลมาร์เวลแบบเหนียวแน่น หรือไม่เคยอ่านฉบับคอมิกมาก่อนก็ยิ่งทำให้เข้าถึงเสน่ห์ของตัวละครได้ยากขึ้นไปอีก
โดยเฉพาะใครที่เป็น ‘ทีมแคป’ มาตลอด อาจต้องเตรียมใจไว้สักนิดว่าในภาคนี้อาจจะไม่ใช่เวลาของพวกเขาจริงๆ
ทีมสู้กับธานอสบนดาวไททัน
Tony Stark / Iron Man (รับบทโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์)
ด้านบทบาทความสำคัญของตัวละครในภาคนี้ แฟนๆ ของทีมสตาร์กอาจต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่จะได้หน้าที่ในการช่วยเหลือและเป็นฝ่ายสนับสนุนมากกว่า แถมเวลาต้องสู้ทีไรก็จะออกแนวตกกระไดพลอยโจนและเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามไปเสียหมด โดยเฉพาะภารกิจต่อสู้กับธานอสบนดาวไททัน ที่บทบาทสำคัญตกไปอยู่ที่คุณหมอแปลกและสตาร์ลอร์ดจอมป่วนมากกว่า
แต่ข้อเสียเปรียบก็ถูกชดเชยด้วยการออกแบบชุดเกราะใหม่ที่ผสานนาโนเทคโนโลยีเข้าไป ทำให้จากเดิมที่เป็นเกราะเหล็กแข็งๆ กลายเป็นชุดเกราะที่ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ เพิ่มคะแนนความน่าตื่นตาตื่นใจในการต่อสู้ได้อีกเยอะเลยทีเดียว
อีกส่วนหนึ่งที่ดีคือหนังยังพยายามหยอดปมปัญหาในใจของโทนี สตาร์ก เข้ามาเป็นระยะ ทั้งเรื่องนิสัยเสพติดความปลอดภัยตลอดเวลา และการกลายเป็นชายแก่ไร้อำนาจการตัดสินใจทันทีเมื่อที่ไม่มีผู้ช่วยอย่างฟรายเดย์คอยช่วยเหลือ แต่ก็เช่นเดียวกับตัวละครอื่นๆ ที่มีเวลาในการเล่าเรื่องน้อยเกินไป ทำให้เรายังไม่ทันได้รู้สึกถึงความน่าเป็นห่วงของอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก
Dr.Stephen Strange (รับบทโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์)
อีกหนึ่งตัวละครที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งพระเอกของภาคนี้ ตั้งแต่ความสำคัญในฐานะผู้ครอง Time Stone หนึ่งใน 6 อัญมณีที่ธานอสตามล่า บทบาทในการดำเนินเรื่อง ประสานงานเพื่อต่อกรกับธานอส รวมทั้งการรับหน้าที่เป็น ‘คู่หูคู่กัด’ ของโทนี สตาร์ก แทนที่กัปตันอเมริกาก็ทำได้ไหลลื่น เนียนตา ไม่มีจุดไหนติดขัด
แต่ที่เด่นและเป็นจุดขายสุดๆ ของหมอแปลกก็คือความสามารถในการต่อสู้ที่สามารถเปิดประตูมิติส่งเป้าหมายไปยังสถานที่ต่างๆ เรียกได้ว่าการร่ายมนตร์ของเขาคือพลังที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ซีนนี้ และทีมงานก็ออกแบบการใช้พลังของทีมหมอแปลก, พ่อ-ลูกสตาร์กแอนด์ปาร์กเกอร์ และทีม Guardians of the Galaxy ที่ใช้สู้กับธานอสได้อย่างน่าลุ้นในทุกๆ วินาที
Peter Parker / Spider-Man (รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์)
ภาคนี้เราจะได้เห็นเด็กน้อยปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ในเวอร์ชันที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หลังจากถูกอบรมโดยคุณพ่อสตาร์กใน Spider-Man: Homecoming (2017) แต่ก็ยังมีมุกกวนๆ ตามประสาเด็กเอาแต่ใจมาเรียกรอยยิ้มจากบรรดาแม่ยกได้เป็นระยะ จนมาถึงตอนนี้น่าจะพูดได้แล้วว่าทอม ฮอลแลนด์ ได้กลายเป็นนักแสดงที่คู่ควรกับบทสไปดี้แล้วจริงๆ
ในส่วนฉากต่อสู้ของสไปเดอร์แมน นอกจากชุดใหม่ของโทนี สตาร์ก ที่เพิ่มขึ้นมาก็ไม่มีอะไรหวือหวามากเท่าไร แต่ก็ยังรับหน้าที่ในการเป็นฝ่ายสนับสนุนคอยช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดีเหมือนเดิม
ทีม Guardians of the Galaxy
Peter Quill / Star-Lord (รับบทโดย คริส แพรตต์)
ตัวละครจาก Guardians of the Galaxy ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมที่สร้างสีสันให้กับ Avengers: Infinity War ได้เป็นอย่างดี มุกตลก จังหวะกวนๆ มาครบตามแบบต้นฉบับ ฉากการบลัฟกันเรื่องชะตากรรมในครอบครัวระหว่างธอร์ สตาร์ลอร์ด และกาโมรา ที่เล่าด้วยหน้านิ่งๆ แต่ถือว่าเป็นตลกร้ายแบบสุดๆ โดยเฉพาะผู้นำทีมอย่างปีเตอร์ ควิลล์ ที่ถึงจะไม่ได้โดดเด่นถึงขนาดเป็นพระเอก แต่การตัดสินใจหลายๆ อย่างของเขาคือเส้นเรื่องสำคัญที่กำหนดชะตากรรมของตัวละครหลายๆ ตัว
Gamora (รับบทโดย โซอี ซัลดานา)
หนึ่งในตัวละครที่น่าสงสารที่สุดในฐานะลูกบุญธรรมของธานอสที่ต้องแบกรับชะตากรรมอันแสนเจ็บปวดเอาไว้ ถึงแม้ฉากต่อสู้จะไม่โดดเด่น แต่เราจะได้เห็นมุมอ่อนไหวที่ต้องพบกับการตัดสินใจที่แสนยากลำบากทั้งในเรื่องความรัก ครอบครัว และภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ
Drax (รับบทโดย เดฟ บาติสตา)
จอมพิฆาตหน้าตายที่โหดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมุกตลกยืนนิ่งเป็นมนุษย์ล่องหนที่ต้องบอกว่าผู้กำกับใจกล้ามากที่เลือกใช้มุกแบบนี้จริงๆ
Mantis (รับบทโดย พอม เคลเมนเทียฟ)
ฉากต่อสู้ไม่โดดเด่น แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวนั้นน่ารักมาก!
ทีมสร้างขวาน Stormbreaker
Thor (รับบทโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ)
ภารกิจหลักของธอร์ในภาคนี้คือการแยกตัวไปสร้างขวานสตอร์มเบรกเกอร์เพื่อนำมาใช้จัดการธานอส แทนที่ค้อนมโยล์เนียร์ที่ถูกเฮลาทำลายไปตั้งแต่ Thor: Ragnarok (2017) สำหรับแฟนๆ ของเทพเจ้าสายฟ้าอาจจะต้องอึดอัดในช่วงแรกๆ เล็กน้อย เพราะแทบไม่ได้ร่วมซีนต่อสู้กับเพื่อนๆ มากเท่าไร แต่บอกเลยว่าทันทีที่อาวุธชิ้นใหม่เข้ามาอยู่ในมือ ตำแหน่ง ‘พระเอก’ ตัวจริงของภาคนี้ก็ต้องยกให้เขาไปครอง
Groot (พากย์เสียงโดย วิน ดีเซล) & Rocket (พากย์เสียงโดย แบรดลีย์ คูเปอร์)
คู่หูสายเกรียนที่ถูกลดบทบาทลงไปเยอะพอสมควร โดยเฉพาะร็อกเก็ต แรคคูนสายโหดที่นอกจากได้เดินทางตามความฝันไปยังดวงดาวผลิตอาวุธในตำนานและคอยเป็นผู้ช่วยธอร์ในการสร้างอาวุธ เขาก็แทบไม่มีฉากขโมยซีนเด็ดๆ แบบที่เคยทำได้อีกเลย ส่วนมนุษย์ต้นไม้อย่างกรู๊ทถือว่าโชคดีอยู่บ้าง เพราะแม้จะก้มหน้าก้มตาเล่นเกมมาตลอด แต่ก็ยังมีซีนได้โชว์เท่อยู่บ้าง ถึงแม้เวลารวมๆ กันแล้วจะไม่เกิน 10 วินาทีก็ตาม
ทีม Captain America
Steve Rogers / Captain America (รับบทโดย คริส อีแวนส์)
ไม่รู้ว่าเพราะเวลาในการเล่าเรื่องไม่พอหรือเปล่าที่ทำให้พี่น้องรุสโซเกิดย้ายฝั่งจากเดิมที่เคยอยู่ ‘ทีมแคป’ มาตลอดจากการกำกับ Captain America: The Winter Soldier (2014) และ Captain America: Civil War (2016) กลายเป็นมาทำร้ายกัปตันของเราไปเสียดื้อๆ เพราะนอกจากออกมาช่วยเพื่อนในเวลาคับขันและนำทีมซูเปอร์ฮีโร่ไปตั้งหลักที่วากานดา เขาก็แทบไม่มีบทบาทสำคัญในเรื่องอีกเลย ยังไม่นับการปรับลุคให้ดูเข้มขึ้น ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่าไม่ค่อยเหมาะกับหน้าใสๆ ของคริส อีแวนส์ เท่าไร แถมการเซอร์วิสแฟนคลับด้วยมัดกล้ามล่ำๆ ก็ลดน้อยลงไปอีกเยอะเลยเหมือนกัน
Bucky Barnes / White Wolf (รับบทโดย เซบาสเตียน สแตน)
เพื่อนรักของกัปตันอเมริกาที่ถูกทำร้ายไม่แพ้กัน เราเคยคาดหวังการกลับมาเป็นกำลังสำคัญในทีมของเขาตั้งแต่เห็นฉาก End Credit ใน Black Panther คิดว่าจะได้เห็นจ่าบัคกี้ใช้แขนซ้ายทรงพลังต่อสู้กับศัตรูด้วยคิวบู๊สวยๆ แบบที่เขาทำได้ดีมาตลอดตั้งแต่ตอนได้รับบทเป็นวินเทอร์ โซลเยอร์ แต่สิ่งที่เราได้เห็นกลับเป็นจ่าบัคกี้ถือปืนออกไปไล่ยิงศัตรูแบบเหงาๆ เท่านั้น
Natasha Romanoff / Black Widow (รับบทโดย สกาเล็ตต์ โจแฮนส์สัน)
สำหรับรูปลักษณ์ของสายลับสวยดุในภาคนี้ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ Avengers: Infinity War คืออีกหนึ่งเรื่องที่ช่วยยืนยันว่าสกาเล็ตต์คือนักแสดงสาวที่จะมีเสน่ห์สูงสุดกับผมสีบลอนด์จริงๆ แต่สำหรับแฟนคลับของเธออาจต้องผิดหวังอยู่บ้าง เพราะเราจะได้เห็นคิวบู๊สวยๆ อยู่แค่ไม่กี่ฉากเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ฉากสไลด์ตัวต่ำเพื่อเตะตัดขาคู่ต่อสู้ของเธอที่ถึงจะมีน้อยไปหน่อย แต่ก็ทำให้ดูเพลินไม่มีเบื่อได้เหมือนเดิม
T’Challa / Black Panther (รับบทโดย แชดวิก บอสแมน)
สงสัยว่ากษัตริย์ทีชัลลาจะใช้แต้มบุญหมดไปตั้งแต่เรื่อง Black Panther เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่วากานดา ประเทศของเขาถูกใช้เป็นสมรภูมิสำหรับตัดสินสงครามในภาคนี้ แต่เอาจริงๆ บทบาทของเขาและนักรบแห่งเผ่าวากานดากลับไม่ได้มีมากไปกว่าการเป็นกระสอบทรายให้กับธานอสและลูกสมุนเท่าไรนัก
Bruce Banner / Hulk (รับบทโดย มาร์ค รัฟฟาโล)
ยักษ์เขียวทรงพลัง คืออีกหนึ่งตัวละครที่สเกลพลังถูกลดลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ความสามารถทางด้านการต่อสู้จะด้อยลง แต่ก็ยังได้รับการชดเชยด้วยหน้าที่ในการแจ้งข่าวและประสานงานเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ รวมทั้งมุกตลกน่ารักๆ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาคาใจระหว่าง บรูซ แบนเนอร์ กับเดอะ ฮัลค์ ที่ยังปรับความเข้าใจกันไม่ได้ตั้งแต่สงครามบนดาวแอสการ์ดจาก Thor: Ragnarok ที่มาช่วยเพิ่มมิติให้กับตัวละครได้พอสมควร
ทีมคู่รัก Vision & Scarlet Witch
Vision (รับบทโดย พอล เบ็ตตานีย์)
ปัญญาประดิษฐ์ที่รวมพลังกับ Mind Stone ทำให้วิชันกลายเป็นหนึ่งในซูเปอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดมาตั้งแต่ Avengers: Age of Ultron (2015) และ Captain America: Civil War แต่ด้วยปัญหาทางด้าน ‘หัวใจ’ ที่เริ่มต้นความสัมพันธ์กับสการ์เล็ต วิตช์ แถมยังต้องตกเป็นเป้าหมายหลักในการตามล่าของธานอส ทำให้วิชันกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าสงสารที่สุดในสงครามครั้งนี้ไปโดยปริยาย
Wanda Maximoff / Scarlet Witch (รับบทโดย อลิซาเบธ โอลเซน)
หนึ่งในตัวละครที่ทรงพลังและมีเสน่ห์มากที่สุดในภาคนี้ เนื่องจากวิชันอยู่ในสภาวะอ่อนแอไม่เหมือนก่อน ทำให้เธอต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อทดแทนในสิ่งที่คนรักสูญเสียไป ในด้านการต่อสู้ เธอยังคงทรงพลังและเป็นกำลังสำคัญที่พึ่งพาได้ให้กับทีมซูเปอร์ฮีโร่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือเสน่ห์ของตัวละครที่ต้องยกความดีความชอบให้กับนักแสดงอย่างอลิซาเบธไปแบบเต็มๆ ทั้งจากบุคลิกภาพ หน้าตา การแสดงออกทางอารมณ์ ที่สามารถดึงดูดสายตาของเราได้มากกว่าสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ไปแล้วในภาคนี้
ทีม Thanos
Thanos (รับบทโดย จอช โบรลิน)
ในขณะที่ทีมซูเปอร์ฮีโร่อาจจะมีข้อบกพร่องในการแบ่งพื้นที่ให้ตัวละครอยู่บ้าง แต่เราขอยกตำแหน่ง ‘เดอะ แบก’ หนังทั้งเรื่องให้กับบอสหัวมันม่วงที่คิดเล่นใหญ่ด้วยการปรับสมดุลจักรวาลที่แสนวุ่นวายนี้ใหม่ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องสเกลพลังที่โชว์กันแบบเต็มๆ ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง เพราะพี่แกเล่นงัดสกิลมาเชียลอาร์ตแบบเข้มๆ จนคนดูแทบหมดหวัง โดยที่ยังไม่ต้องพึ่งพลังของ Infinity Stones สักเม็ดด้วยซ้ำ และยิ่งเวลาผ่านไป พลังของบอสใหญ่ตัวนี้ก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แทบไม่มีทีท่าว่าจะจบ
นอกจากเรื่องความสามารถในการต่อสู้ ตรรกะความรู้สึกของธานอสก็น่าสนใจ มีทั้งฉากที่แสดงถึงความโหดเหี้ยมจนน่ารังเกียจ ฉากที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้การกระทำอันป่าเถื่อน รวมทั้งการแสดงให้เห็นถึงด้านที่เปราะบางทางอารมณ์ ทำให้เห็นว่าถึงแม้จะโหดเหี้ยมแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีหัวใจและความรู้สึกไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่ติดเพียงเรื่องเดียวคือด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้ไม่มีพื้นที่ในการขยายความเหตุผลต่างๆ มากนัก ถ้ามีเวลาในการขยี้ปมต่างๆ มากกว่านี้ เราเชื่อว่าน่าจะทำให้คนดูเปิดใจให้กับจอมวายร้ายแห่งจักรวาลคนนี้ได้อีกมากทีเดียว
Ebony Maw (รับบทโดย ทอม วอห์น-ลอว์เลอร์)
หนึ่งในแก๊ง The Children of Thanos ที่ประกอบไปด้วยลูกๆ ของธานอสทั้ง 4 คนที่มาช่วยปฏิบัติภารกิจตามหา Infinity Stones แต่ละคนก็มีคาแรกเตอร์และความสามารถที่แตกต่างกันไป แต่คนที่เราคิดว่าโดดเด่นและน่าจับตามองมากที่สุดก็คืออีโบนี มอว์ ที่ได้รับภารกิจสำคัญในการตามล่า Time Stone จากด็อกเตอร์สเตรนจ์ ด้วยคาแรกเตอร์นิ่งๆ หน้าตาย เคลื่อนไหวน้อย ใช้สองมือควบคุมสิ่งของต่างๆ ในการต่อสู้ รวมกับจังหวะจะโคนที่พอดิบพอดี แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกว่าเท่กว่าคอร์วัส เกลฟ ที่เป็นมือขวาคนสำคัญของธานอสได้แล้ว จนเราแอบเสียดายว่ามีพื้นที่ให้ตัวละครนี้น้อยเกินไปด้วยซ้ำ