หากต้องเลือกหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากพอที่จะสามารถช่วยกำหนดทิศของวงการบิวตี้ โดยเฉพาะในหมวดน้ำหอม ชื่อของ Olivier Polge ต้องติดลิสต์ 1 ใน 5 อย่างแน่นอน กับบทบาทนักปรุงน้ำหอมของ CHANEL ที่สร้างสรรค์กลิ่นต่างๆ อย่างไม่รู้จบมาตั้งแต่ปี 2013 หลังสานต่อตำแหน่งจากคุณพ่อของเขา Jacques Polge ที่อยู่มายาวนานกว่า 37 ปีก่อนหน้านั้น
ล่าสุด THE STANDARD POP มีโอกาสไปร่วมทริปสุดพิเศษของ CHANEL ณ กราสส์ เมืองหลวงน้ำหอมของโลก ที่อยู่ทางตอนใต้ประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปเรียนรู้การเพาะปลูกและสกัดดอกจัสมินที่นำมาใช้เป็นสวนผสมหลักในน้ำหอม CHANEL N°5 หนึ่งในน้ำหอมสุดไอคอนิกกับยอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ตลอด 102 ปี ตั้งแต่คิดค้นจากการร่วมมือกันของ Gabrielle Chanel ผู้ก่อตั้งแบรนด์ และ Ernest Beaux นักปรุงน้ำหอมชาวรัสเซีย โดยในช่วงท้ายของวันเราได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษและพูดคุย Olivier Polge ผู้ชายสุขุมลุ่มลึกชาวฝรั่งเศสที่มาพร้อมวิสัยทัศน์อันน่าสนใจเกี่ยวกับทั้งน้ำหอมภายใต้อาณาจักรของ CHANEL และวงการน้ำหอม โดยที่เขามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
Olivier Polge กับ Fabrice Bianchi และ Joseph Mul ที่เมืองกราสส์
ชื่อของน้ำหอม CHANEL มักถูกเชื่อมโยงกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ คุณปรุงและคิดกลิ่นอย่างไรในแต่ละครั้ง
Olivier Polge: ชื่อน้ำหอมเป็นได้ทั้งปีหนึ่งในอดีตที่มีความสำคัญต่อแบรนด์ CHANEL หรือจะเป็นเลขก็ได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับ CHANEL N°5 โดยในแต่ละครั้งผมก็ต้องหาความสมดุลระหว่างการรังสรรค์ของกลิ่นที่มาในสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ CHANEL แต่ก็ต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่ด้วย ซึ่งก็แปลว่าเราต้องหาบาลานซ์ดีๆ เพราะอย่างเช่นเมื่อเช้าที่เราได้พูดถึง CHANEL N°5 น้ำหอมกลิ่นนี้ก็มีความ Abstract ในตัวเหมือนกับทุกกลิ่นของ CHANEL แต่ในขณะเดียวกันผมก็มีอิสระแบบไม่ได้ถูกจำกัดด้านความคิดและไม่ได้ถูกสั่งว่าต้องใช้ส่วนผสมอันไหนโดยเฉพาะ เพียงแค่ขอให้น้ำหอมมีจิตวิญญาณที่บ่งบอกความเป็นสไตล์ของแบรนด์ก็พอ
CHANEL มีน้ำหอมเยอะแยะมากมาย แล้วคุณคิดว่ามีอะไรที่เป็นจุดเชื่อมโยงของแต่ละกลิ่นเข้าด้วยกัน
Olivier Polge: น้ำหอมของ CHANEL สะท้อนทั้งจิตวิญญาณความร่วมสมัยแบบไร้กาลเวลา ให้ความรู้สึกสดชื่น แต่มีก็ความซับซ้อนในตัวที่แฝงไปด้วยความลึกลับ
ขั้นตอนการทำน้ำหอม CHANEL ใช้เวลานานไหม
Olivier Polge: ใช้เวลานานมาก และหลายครั้งผมก็รู้สึกช้าเกินไปด้วยซ้ำ โดยทุกครั้งที่ผมทำน้ำหอมกลิ่นใหม่ของ CHANEL ผมก็ต้องให้คนทั่วไปได้ลองเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันก่อน ซึ่งนั่นก็ใช้เวลาหลายสัปดาห์อยู่ ส่วนถ้าจะกำหนดระยะเวลาตั้งแต่แรกเริ่มเลย ผมก็คิดว่าใช้เวลาประมาณสองปี เพราะสายพานการผลิตน้ำหอมกลิ่นหนึ่งถือว่าใช้เวลาเยอะ โดยอย่างเช่นตอนนี้ผมก็กำลังทำงานอยู่กับน้ำหอมที่จะออกมาในปี 2025 และ 2026
เวิร์กช็อปกับ Olivier Polge ที่เมืองกราสส์
แต่ระยะเวลาในการสร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นใหม่เอี่ยมกับน้ำหอมที่เป็นกลิ่น Spin-Off แตกไลน์ออกมาจากกลิ่นที่มีอยู่แล้วต่างกันไหม
Olivier Polge: ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น และบางครั้งกลิ่น Spin-Off ก็อาจใช้เวลามากกว่าด้วยซ้ำ
คุณไปหาแรงบันดาลใจในการปรุงน้ำหอมแต่ละกลิ่นของ CHANEL จากที่ไหน
Olivier Polge: ผมคิดว่าแรงบันดาลใจมาได้ในหลากหลายรูปแบบที่ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นสิ่งของที่เห็นกับตา ซึ่งบางครั้งมันอาจมาจากชุดความคิดสร้างสรรค์ในหัวของเราก็ได้ หรือจะเป็นช่วงเวลาของวันหนึ่ง ดีเทลของสิ่งหนึ่ง เฉดสีหนึ่ง หรือรูปทรงของวัตถุดิบที่ใช้ ก็ได้ทั้งหมด
ถ้า Gabrielle Chanel ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ และคุณต้องคิดค้นน้ำหอมที่บ่งบอกถึงตัวเธอ คุณคิดว่ากลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไร
Olivier Polge: ที่จริงตอนที่ผมคิดค้นน้ำหอมกลิ่น Gabrielle ที่เรียกตามชื่อของเธอ ผมก็พยายามที่จะโฟกัสการนำบุคลิกของเธอมาเป็นที่ตั้งและกลับไปศึกษาน้ำหอมต่างๆ ที่เธอเคยทำตอนยังมีชีวิตอยู่ อย่างเช่น วัตถุดิบหนึ่งที่ Gabrielle Chanel มักใช้เป็นประจำในน้ำหอมก็คือดอกไม้ขาว ซึ่งผมก็คิดว่าดอกไม้ขาวสะท้อนถึงบุคลิกคนที่แข็งแกร่งและกล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด โดยผมคิดว่าถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่เธอก็ต้องเป็นแบบนั้น แต่เป็นในมุมที่โมเดิร์นขึ้น
CHANEL N°5 L’Eau, CHANEL Gabrielle และ CHANEL Boy Les Exclusifs ตัวอย่างกลุ่มน้ำหอมที่ Olivier Polge เป็นคนคิดค้น
คุณคิดว่าวงการน้ำหอมทุกวันนี้เปลี่ยนไปไหม
Olivier Polge: ผมคิดว่าวงการน้ำหอมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีเทรนด์ใหม่ๆ ที่ต้องปรับใช้และศึกษาเพื่อสร้างความสำเร็จใหม่ๆ โดยผมว่าในยุคนี้คนเริ่มมองหาน้ำหอมแบบ Signature Scent ที่ใช้เป็นประจำ มากกว่าเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆ และผมคิดว่าคนก็มองหากลิ่นที่สะอาดสดชื่นขึ้น รวมทั้งน้ำหอมที่เล่นกับพวกสีต่างๆ ด้วย
มองไปในอนาคต มีวัตถุดิบหรือดอกไม้สายพันธุ์ไหนไหมที่คุณอยากนำมาสกัดเพื่อสร้างน้ำหอมกลิ่นใหม่ของ CHANEL
Olivier Polge: มันยากมากที่เราจะไปหาดอกไม้สายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน เพราะเราลองมาหมดแล้ว แต่สิ่งที่ผมกลับคิดก็คือ การหาวิธีสกัดดอกไม้ในรูปแบบใหม่ที่ต่างไปจากเดิม เหมือนกับตอนที่ผมเริ่มสกัดดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose) ที่เรานำมาปลูกกันที่กราสส์ แต่กับดอกโบตั๋น (Peony) ที่สวยงามมากๆ เราก็ไม่เคยสามารถนำมาสกัดอย่างธรรมชาติในน้ำหอม ซึ่งถ้าวันหนึ่งเราทำได้ผมก็จะดีใจมาก
ภาพ: CHANEL