Digital Currency Group (DCG) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Genesis ที่ล้มละลายไปเมื่อต้นปีด้วยผลกระทบโดมิโนจาก FTX ได้บรรลุข้อตกลงการชำระเงินคืนให้กับเจ้าหนี้ของ Genesis ตามคำฟ้องของศาลที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม 2023 Genesis ได้ยื่นฟ้องล้มละลายตามบทที่ 11 ของกฎหมายล้มละลายในสหรัฐฯ หลังจากเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องครั้งใหญ่ สืบเนื่องมาจากการล่มสลายของ FTX อดีตเว็บเทรดชั้นนำอันดับ 2 ของโลก จากเอกสารการยื่นล้มละลายชี้ให้เห็นว่า Genesis มีหนี้สิน ซึ่งรวมถึงสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน จำนวน 630 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคม 2023 นอกจากนี้บริษัทยังมีตั๋วสัญญาการใช้เงิน (Promissory Note) ที่ไม่มีหลักประกัน มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะครบกำหนดในปี 2032
สำหรับแผนการชำระหนี้นั้น Digital Currency Group (DCG) ตกลงที่จะแบ่งเงินจำนวน 1.1 พันล้านดอลลาร์ออกเป็น 2 ส่วน โดยจะประกอบด้วยส่วนแรกจำนวน 328.8 ล้านดอลลาร์ โดยมีระยะเวลาครบกำหนด 2 ปี และส่วนที่ 2 จำนวน 830 ล้านดอลลาร์ โดยมีระยะเวลาครบกำหนด 7 ปี นอกจากนี้ DCG จะแบ่งเงินออกเป็นอีก 4 งวดเพิ่มเติม คิดเป็นมูลค่ารวม 275 ล้านดอลลาร์ เพื่อชำระหนี้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนพฤษภาคม 2023
Genesis เป็นหนี้สินประมาณ 3.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึง Gemini เว็บเทรดคริปโตที่ก่อตั้งโดยฝาแฝด Winklevoss นอกจากนี้ Cumberland, Mirana, MoonAlpha Finance และ VanEck ก็ล้วนเป็นเจ้าหนี้ Genesis ด้วย
หลังจากที่ Genesis ยื่นล้มละลายไป ดูเหมือนว่า Gemini จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจาก Genesis เป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์การเงินของ Gemini ที่เรียกว่า Gemini Earn Program ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 8% สำหรับผู้ฝากเงิน และแน่นอนว่าหลังจากที่ Genesis ล้มละลายไป Gemini ก็เป็นหนี้เกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนของลูกค้า เหตุการณ์นี้จึงทำให้ Gemini ยื่นฟ้อง DCG เพื่อเรียกเงินคืน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าแผนการชำระหนี้ของ DCG ครั้งนี้จะมีการคืนเงินให้กับ Gemini หรือไม่ แต่ก็เป็นประเด็นที่ต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น
อ้างอิง: