รัฐสภากัมพูชามีมติลงคะแนนเสียงรับรองให้ พล.อ. ฮุน มาเนต วัย 45 ปี ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ (22 สิงหาคม)
รายงานระบุว่า สมาชิกสภาทั้งหมด 123 รายลงมติเป็นเอกฉันท์ เปิดทางให้ ฮุน มาเนต สานต่อเก้าอี้ผู้นำจาก ฮุน เซน ผู้เป็นบิดาและอดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า ซึ่งครองอำนาจในกัมพูชามายาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ หลังจากที่พรรคแคมโบเดียนพีเพิลส์ (Cambodian People’s Party: CPP) ชนะการเลือกตั้งทั่วไปแบบแลนด์สไลด์เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมกวาดที่นั่งในสภาไปถึง 120 ที่นั่ง
ภายหลังจากการลงมติ ฮุน มาเนต กล่าวว่า “วันนี้นับเป็นวันที่สำคัญยิ่ง และเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของกัมพูชา”
อนึ่ง ฮุน มาเนต วัย 45 ปี เป็นบุตรชายคนโตของ ฮุน เซน เขาถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเขามีประวัติชีวิตที่เพียบพร้อม ฮุน มาเนต เติบโตและได้รับการศึกษาในกรุงพนมเปญ ก่อนเข้ารับราชการในกองทัพกัมพูชาปี 1995 ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเขาได้เข้าโรงเรียนทหารสหรัฐอเมริกาที่เวสต์พอยต์ และอีก 4 ปีต่อมาก็กลายเป็นชาวกัมพูชาคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้
ส่วนทางด้านวิชาการ ฮุน มาเนต จบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบริสตอล
อย่างไรก็ตาม การถ่ายโอนอำนาจที่เกิดขึ้นนั้นถูกสื่อตะวันตกมองว่าเหมือนเป็น ‘พิธีบรมราชาภิเษกมากกว่าการเลือกตั้ง’ เพราะ ฮุน เซน ได้ปูทางไว้หมดแล้ว โดยการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พรรค CPP เรียกได้ว่าไร้คู่แข่งโดยสิ้นเชิง เพราะทางการกัมพูชาได้สั่งตัดสิทธิห้ามพรรคแคนเดิลไลต์ (Candlelight Party) คู่แข่งหนึ่งเดียวของพรรค CPP ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไป ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้คือการแข่งขันกันระหว่างพรรคใหญ่ 1 พรรค และบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยอีก 17 พรรคที่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ส่งผลให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยและกลุ่มสิทธิมนุษยชนโจมตีการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นอย่างหนัก
และเพียงไม่นานหลังจากนั้น ฮุน เซน ก็ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ เพื่อเปิดทางให้ ฮุน มาเนต ผู้เป็นบุตรชาย ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ ฮุน เซน จะสละเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับบุตรชายไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้ออกจากเส้นทางการเมืองไปอย่างสิ้นเชิง โดยเขาจะยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค CPP ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นักวิเคราะห์มองว่ายังคงทำให้ ฮุน เซน มีอำนาจคุมเกมการเมืองในประเทศต่อไปอย่างน้อยอีก 10 ปีนับจากนี้
ภาพ: TANG CHHIN SOTHY / AFP
อ้างอิง: