วันนี้ (21 สิงหาคม) ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา, พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า, วรเชษฐ เชิดชู เลขาธิการพรรคเพื่อไทรวมพลัง รวมถึง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่, บัญชา เดชเจริญศิริกุล หัวหน้าพรรคท้องที่ไทย และกฤดิทัช แสงธนโยธิน หัวหน้าพรรคใหม่ ร่วมแถลงจัดตั้งรัฐบาล
นพ.ชลน่าน อ่านแถลงการณ์ว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองรวม 11 พรรค จำนวน 314 เสียง ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาล และมีมติร่วมกันเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคเพื่อไทยได้ดำเนินการรวบรวมพรรคต่างๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลดังนี้
- พรรคเพื่อไทย จำนวน 141 ที่นั่ง ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 8 กระทรวง รัฐมนตรีช่วย และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวม 9 ตำแหน่ง
- พรรคภูมิใจไทย จำนวน 71 ที่นั่ง ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง
- พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 40 ที่นั่ง ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง
- พรรครวมไทยสร้างชาติ จำนวน 36 ที่นั่ง ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง
- พรรคชาติไทยพัฒนา จำนวน 10 ที่นั่ง ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง
- พรรคประชาชาติ จำนวน 9 ที่นั่ง ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง
ส่วนพรรคอื่นๆ อีกจำนวน 5 พรรค ได้แก่ พรรคชาติพัฒนากล้า 2 ที่นั่ง, พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 ที่นั่ง, พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง, พรรคท้องที่ไทย 1 ที่นั่ง และพรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรี
นพ.ชลน่าน แถลงเพิ่มเติมว่า นอกจากจะจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว จะมีการแบ่งงานกันทำ โดยทุกพรรคบรรลุข้อตกลงร่วมกันจะนำนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้เป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ เช่น Digital Wallet, ที่ดินทำกิน, ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570 รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคงไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ โดยจะนำนโยบายแต่ละพรรคมาบูรณาการร่วมกันให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด โดยจัดเป็นนโยบายก่อนจะแถลงให้ประชาชนรับทราบต่อไป ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัญอันดับแรกที่จะต้องเร่งแก้ไข
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลในครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อประชาชนในสถานการณ์ที่ปัญหาทุกด้านส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องรุนแรง แม้พรรคเพื่อไทยจะเผชิญกับวาทกรรมและคำกล่าวหาที่รุนแรง แต่เราและพรรคร่วมจะทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน พร้อมขอรับการสนับสนุนจาก สส., สว. และทุกพรรคการเมือง ร่วมกันผลักดันวาระของประเทศ ลดเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การขยายความขัดแย้งในประเทศ นำพาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งและกินดีอยู่ดีของประชาชน
นพ.ชลน่าน กล่าวยืนยันว่า เจตจำนงของพรรคร่วมคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยมี สสร. ส่วนการแบ่งโควตารัฐมนตรีก่อนการโหวตนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดสัดส่วนโควตารัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมืองเป็นที่เรียบร้อย ส่วนรายละเอียดของแต่ละรัฐมนตรีเป็นเรื่องของแต่ละพรรคไปดำเนินการ และไม่สามารถนำเสนอในขณะนี้ได้ เพราะจะผ่านการตรวจสอบรายชื่อและนำเสนอรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
นพ.ชลน่าน กล่าวยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เป็นการพูดคุยในหลักการหลักที่สำคัญ ส่วนรายละเอียด สสร. จะมาอย่างไร จำนวนเท่าไร เป็นรายละเอียดที่จะดำเนินการในวาระแรก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ท่าทีของ สว. ต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีขณะนี้เพียงพอที่จะส่งให้เศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หรือไม่นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คณะทำงานได้ดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งเรามั่นใจและพึงพอใจจำนวนที่ได้รับ และในวันพรุ่งนี้ไม่น่าจะมีปัญหา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในการร่วมรัฐบาลได้ประเมินผลที่จะตามมาอย่างไร รวมถึงประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ที่เศรษฐาไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการโหวตนายกรัฐมนตรี นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การแสดงวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเรายึดถือรัฐธรรมนูญและข้อบังคับของสภาเป็นหลัก หน้าที่ของสมาชิกสภามีหน้าที่ในการเลือกบุคคลที่ไม่มีลักษณะต้องห้าม ตนในฐานะหัวหน้าพรรคยืนยันว่าการคัดเลือกเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคผ่านการกลั่นกรองมาอย่างถี่ถ้วน เรามั่นใจในคุณสมบัติและไม่มีแผนอื่น เพราะมั่นใจว่าการโหวตเศรษฐาจะได้รับการพิจารณาจากรัฐสภา
