ความจริงโดยเนื้อแท้ เกมเอฟเอคอมมูนิตี้ชิลด์ คือเกมซึ่งจัดขึ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการกุศล และถือเป็นเกมเปิดม่านฤดูกาลใหม่ของฟุตบอลอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการ
ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเกมที่ถึงกับมีความสำคัญในระดับคอขาดบาดตายขนาดนั้น
แต่สำหรับเกมคอมมูนิตี้ชิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 กรกฎาคม) ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นโดยเฉพาะสำหรับอาร์เซนอล ที่มีปมเจ็บจากการพลาดท่าถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองในช่วงท้ายฤดูกาลเพราะความอ่อนประสบการณ์กว่า
เกมที่เวมบลีย์เมื่อคืนที่ผ่านมา ‘กันเนอร์ส’ จึงดูเน้นหนักเป็นพิเศษ จนกระทั่งพลิกสถานการณ์มาไล่ตีเสมอได้ในช่วงนาทีบาปจาก เลอันโดร ทรอสซาร์ด และแสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็นกว่าในช่วงของการดวลจุดโทษ
ชัยชนะครั้งนี้สำคัญแค่ไหน? รวมถึงในเกมนี้มีประเด็นอะไรที่น่าหยิบมาพูดคุยกันอีกบ้าง มาดูกัน
อาร์เซนอลตามทันแมนฯ ซิตี้
ย้อนกลับไปในฤดูกาลที่แล้ว อาร์เซนอลพบกับแมนฯ ซิตี้ทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกัน และทุกครั้งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในเกมพรีเมียร์ลีก 2 นัดแบบไปกลับเหย้า-เยือน ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งจนเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลาได้แชมป์
เหตุผลสำคัญที่ทำให้อาร์เซนอลพ่ายแพ้อย่างแรก คือเรื่องคุณภาพของผู้เล่นในบางตำแหน่ง และอีกหนึ่งคือเรื่องของความกริ่งเกรงในใจที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ‘ตัวเล็ก’ กว่าคู่แข่งที่ครองความเป็นหนึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษมายาวนาน
นั่นทำให้ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา มิเกล อาร์เตตา ร่วมด้วย เอดู ผู้อำนวยการสโมสร พยายามจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้ทีมยกระดับขึ้นมาสู้กับแมนฯ ซิตี้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ด้วยการลงทุนร่วม 200 ล้านปอนด์เพื่อซื้อ 3 นักเตะคุณภาพสูงอย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์, ดีแคลน ไรซ์ และ ยอร์เรียน ทิมเบอร์ เข้ามา
นอกจากนั้นคือเรื่องของการปลุกความเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าเลย
ในเกมคอมมูนิตี้ชิลด์เมื่อคืนที่ผ่านมา จึงเป็นครั้งแรกที่อาร์เซนอลไม่ได้เพียงแค่ต้านทานแมนฯ ซิตี้ได้ พวกเขายังสามารถต่อกรแลกหมัดได้อย่างสูสี ผลัดกันมีช่วงเวลาที่ครองเกมได้ สร้างความกดดันได้ และมีโอกาสลุ้นทำประตูได้ไม่น้อยไปกว่ากัน
มันทำให้เรามองเห็นภาพได้ว่าตอนนี้อาร์เซนอลไล่ตามแมนฯ ซิตี้มาทันแล้ว ไม่ว่าจะในเชิงของคุณภาพผู้เล่น ขุมกำลัง กลยุทธ์วิธีการเล่น ไปจนถึงเรื่องหัวจิตหัวใจ
ที่เหลือคือเรื่องความสม่ำเสมอ การยืนระยะ และการฝ่าฟันอุปสรรค ต้องไปว่ากันเมื่อเปิดฤดูกาลแล้ว
แข้งใหม่ไหวอยู่นะ
ในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมาถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของบรรดานักเตะใหม่ของทั้งสองทีม และพอจะบอกได้ว่า ‘สอบผ่าน’ ทุกคน
ฝั่งของอาร์เซนอลเองถือว่าดูดี ไม่ว่าจะเป็นฮาเวิร์ตซ์ที่ถึงจะพลาดโอกาสทองไปในช่วงท้ายครึ่งแรก แต่ในภาพรวมกับบทกองหน้าตัวเป้าแทนที่ กาเบรียล เชซุส ที่มีอาการบาดเจ็บ กองหน้าทีมชาติเยอรมนีแสดงให้เห็นถึงความสารพัดประโยชน์ทั้งการเป็นตัวพักบอล การทำทาง ไปจนถึงการเป็นตัวบวกคนแรกในแนวรุกที่สร้างแรงกดดันให้แนวรับคู่ต่อสู้
ส่วน ดีแคลน ไรซ์ อาจจะไม่โดดเด่นสะดุดตา แต่ก็ถือว่าทำหน้าที่ในแดนกลางได้ดีในฐานะทั้งผู้ปกป้องเกมรับของทีม และช่วยงานของ มาร์ติน โอเดการ์ด รวมถึง โธมัส ปาร์เตย์ ซึ่งสามประสานชุดนี้จะเป็นตัวหลักในแดนกลางของอาร์เซนอลในฤดูกาลใหม่
ที่เซอร์ไพรส์คือ เยอร์เรียน ทิมเบอร์ ซึ่งถูกจับมาเล่นแบ็กซ้ายแทนที่ของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก ทั้งๆ ที่ปกติเล่นเป็นแบ็กขวากับเซ็นเตอร์แบ็ก ปรากฏว่าทำได้ดีเนียนตา ขนาดที่สามารถขยับเข้ามาเป็น Inverted Fullback ได้แบบไม่มีขัดเขิน ด้วยความสามารถเฉพาะตัวและความเข้าใจเกมในระดับสูง ซึ่งถ้าเล่นได้ระดับนี้ 40 ล้านปอนด์ที่เสียไปให้อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะเล่นได้ทุกบทในเกมรับจริงๆ
ฟากของแมนฯ ซิตี้ มีนักเตะใหม่คนเดียวคือ มาเตโอ โควาซิช ซึ่งซื้อมาจากเชลซีเพื่อแทนที่ อิลคาย กุนโดกัน ที่อำลาไปอยู่บาร์เซโลนา
โดยตำแหน่งและบทบาทแล้วนักฟุตบอลระดับโควาซิชถือว่าพอเอาตัวรอดได้ไม่ยากในทีมบอลระบบอย่างแมนฯ ซิตี้ เพียงแต่จะขาดเรื่องของการเติมไปหาโอกาสจบสกอร์ที่ต้องรอดูว่าเป๊ปจะสามารถปั้นให้มิดฟิลด์โครเอเชียเป็นกุนโดกันสองได้หรือไม่ แต่รวมๆ แล้วไม่ขี้เหร่
อย่างไรก็ดีนี่เป็นแค่เกมอย่างเป็นทางการนัดแรก ต้องให้เวลานักเตะเหล่านี้อีกสักหน่อยในการปรับตัวเข้ากับทีม แต่มองแล้วทั้งหมดน่าจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดี
แมนฯ ซิตี้ที่มีกับไม่มี เดอ บรอยน์
ในขณะที่อาร์เซนอลเรียกได้ว่าอาวุธครบมือ แต่แมนฯ ซิตี้ในเกมนี้อาจถือว่าไม่เต็มสูบดีนัก โดยเฉพาะเกมรุกเพราะนอกจากจะเสียกุนโดกันไป ในเกมนี้ เควิน เดอ บรอยน์ ก็ไม่ฟิตพอที่จะลงสนามเป็นตัวจริงด้วย
นั่นทำให้เป๊ปต้องเลือกใช้ ฮูเลียน อัลวาเรซ กองหน้าดาวรุ่งชาวอาร์เจนตินาลงสนามแทนในตำแหน่งและบทบาทของเดอ บรอยน์ ซึ่งแม้ดาวยิงฟ้าขาวจะเป็นนักเตะฝีเท้าดีที่เก่งในเรื่องของการหาโอกาสสอดแทรกเข้าไปลุ้นทำประตู
แต่ความครีเอทีฟไม่สามารถเทียบกับตัวจริงอย่างเดอ บรอยน์ได้เลย
ดังนั้นในเกมคอมมูนิตี้ชิลด์ แมนฯ ซิตี้จึงเหมือนมี 2 ชุดหลักๆ ด้วยกัน คือชุดที่มีกับไม่มีเดอ บรอยน์ เพราะหลังจากจอมทัพชาวเบลเยียมลงสนามมา ต่อให้สภาพจะไม่เต็มร้อย ก็เปลี่ยนบรรยากาศของทีมได้ทันทีด้วยพลังขับเคลื่อน และมันสมองในการสร้างสรรค์เกม
จุดนี้น่าคิด เพราะที่ผ่านมาหากเดอ บรอยน์ไม่พร้อมลง อย่างน้อยแมนฯ ซิตี้จะมีบอลสมองอย่างกุนโดกันอยู่อีกคน แต่ตอนนี้สตาร์ทีมชาติเยอรมนีไม่อยู่แล้ว อาจต้องมีใครสักคนที่ก้าวขึ้นมาเพื่อช่วยตรงนี้ด้วย เพราะปีนี้แข้งเทพหัวทองก็อายุอานามปาเข้าไป 31 ปีแล้ว
อาการบาดเจ็บกระเสาะกระแสะอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าลงไม่ไหวเจอทีมเล็กก็ยังพอเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าเจอของแข็งแบบอาร์เซนอลขึ้นมาก็มีโอกาสลำบากสูง
ปั่นโค้งๆ ของพาลเมอร์
แต่แมนฯ ซิตี้ยังรู้สึกดีบ้างกับการแจ้งเกิดของ โคล พาลเมอร์ ไอ้หนูดาวรุ่งจากทีมเยาวชนที่เกือบได้เป็นฮีโร่อยู่แล้วเชียวในเกมนี้
พาลเมอร์ เป็นหนึ่งในเด็กปั้นจากอะคาเดมีที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ค่อยๆ ประคบประหงมมาสักพักหนึ่ง และดูเหมือนจะเริ่มเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ที่เป็นหนึ่งในทีมชาติอังกฤษชุดอายุไม่เกิน 21 ปีที่ไปคว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้
ความมั่นใจจากรายการนั้นถูกต่อยอดมาถึงเกมกับอาร์เซนอลเมื่อคืนนี้ เมื่อพาลเมอร์ได้โอกาสลงสนามในช่วงครึ่งหลัง และแสดงลีลาให้เห็นด้วยการลากตัดในหลอก คีแรน เทียร์นีย์ ก่อนจะปั่นโค้งๆ บอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมเสาไกลแบบสุดสวย
ลูกยิงนี้ทำให้เป๊ปยิ้มออกเลย เพราะมันแสดงให้เห็นว่าพาลเมอร์พร้อมจะก้าวขึ้นมาช่วยทีมทดแทน ริยาด มาห์เรซ ที่อำลาไปเล่นในซาอุดีอาระเบีย เพียงแต่ต้องขัดเกลาเรื่องการตัดสินใจ จังหวะจะโคนอีกมากตามประสาเด็กที่ยังกระดูกอ่อนอยู่
แต่บอกเลยไอ้หนูคนนี้ ‘มีของ’
ลูกแฉลบในนาทีบาป
ความจริงลูกยิงของพาลเมอร์ก็น่าจะเป็นประตูโทนของเกมให้แมนฯ ซิตี้ ได้สัมผัสโล่การกุศลบ้าง แต่ใครจะคิดว่าในช่วงนาทีบาปของการทดเวลาที่ปาเข้าไปถึงนาทีที่ 100 ตามกติกาที่มีการปรับใหม่ให้คำนวณช่วงของการทดเวลาบาดเจ็บแบบละเอียดเหมือนฟุตบอลโลก 2022 (ที่เป๊ปออกมาบ่นนั่นแหละ) อาร์เซนอลจะมาทำประตูตีเสมอได้
ประตูตีเสมอนี้ต้องบอกว่าบุญพาวาสนาส่งโดยแท้ เพราะลูกยิงของ เลอันโดร ทรอสซาร์ด นั้นดูไม่น่าจะสร้างปัญหาให้ สเตฟาน ออร์เตกา ประตูของแมนฯ ซิตี้ได้ แต่ปรากฏบอลเจ้ากรรมดันไปแฉลบต้นขาของ มานูเอล อาคานจี ซึ่งเล่นดีมาตลอดทั้งเกมก่อนเปลี่ยนทางกระเด้งหลุนๆ เข้าประตูไปโดยที่ออร์เตกา (ซึ่งความจริงก็ปักเท้าไวเกินไป ถ้ายังไม่ปักเท้าอาจกระโดดเปลี่ยนทิศกลับมาทัน) ทำอะไรไม่ได้ และอาคานจีก็ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม
แต่ถ้าเราตัดเรื่องบาปบุญออกไป ประตูนี้ของอาร์เซนอลได้มาเพราะการที่พวกเขาไม่ละความพยายาม ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทขนาดนี้ก็ได้ในเกมการกุศลที่ไม่ได้มีผลอะไร แต่ทีมของอาร์เตตาสู้เต็มที่ และด้วยการปรับหมากจากกุนซือชาวสเปนที่ใส่ทั้ง ทรอสซาร์ด, เอ็ดดี เอ็นเคเทียห์, เอมิล สมิธ โรว์ และ ฟาบิโอ วิเอรา ลงมากะสู้เพื่อตีเสมอก็สามารถกดแมนฯ ซิตี้จนหลังพิงเชือก
สุดท้ายความอ่อนล้าของแมนฯ ซิตี้ ทำให้โดนทรอสซาร์ดหลอกง่ายๆ และไม่มีใครเข้ามาประกบ ซึ่งแม้กองหน้าเบลเยียมจะไม่ได้ตั้งใจยิงให้แฉลบ แต่ลูกยิงของเขาก็หนักพอที่จะแฉลบแล้วบอลเปลี่ยนทางเข้าประตูไป
ความกดดันของแรมส์เดล
ในบรรดานักเตะอาร์เซนอลทั้งหมด คนเดียวที่แบกรับความกดดันส่วนตัวอยู่คือ อารอน แรมส์เดล นายทวารมือหนึ่งของทีม
นั่นเป็นเพราะมีข่าวว่าอาร์เตตากำลังอยากได้ ดาบิด รายา ประตูจากไบรท์ตันเข้ามาเพื่อแข่งขันชิงมือหนึ่งจากแรมส์เดล และมีบทวิเคราะห์เปรียบเทียบให้เห็นถึงความใกล้เคียงกันของประตูทั้งสองคน ไปจนถึงการพูดว่ารายาจะมาชิงตำแหน่งมือหนึ่งไปได้ด้วยซ้ำ
ตลอดทั้งเกมจึงพอจะรู้สึกได้ว่าแรมส์เดล (ที่ได้รับคำชมจากคนมากมายถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัวที่ถ่ายทอดออกมาผ่าน The Players’ Tribune) เล่นแบบมีความกดดันตัวเองอยู่ การเล่นหลายๆ จังหวะดูแปลกๆ โดยเฉพาะจังหวะที่เพื่อนจ่ายคืนหลังมาให้แล้วโดนกองหน้าแมนฯ ซิตี้เพรสซิง ต้องบอกว่าหวาดเสียวทุกลูก
แต่ก็ไม่มีลูกไหนที่เขาพลาด ยกเว้นช่วงท้ายเกมที่ออกมาเตะเปิดบอลไม่ดีไปเข้าเท้า เดอ บรอยน์ ดีที่ไม่ได้เป็นโอกาสลุ้นประตูอะไร และที่สำคัญคือแรมส์เดลยังโชว์ซูเปอร์เซฟสำคัญๆ ด้วย โดยเฉพาะการเซฟลูกโหม่งของโรดรี ซึ่งถ้าเข้าจะเป็นประตู 2-0 ของซิตี้ และน่าจะช้อยเก็บฉากได้เลย
เกมที่เวมบลีย์จึงน่าจะเป็นเกมที่เรียกความมั่นใจให้เจ้าตัวได้เป็นอย่างดี และเป็นการบอกอาร์เตตาชัดๆ ว่า เขาดีพอสำหรับการจะเป็นมือหนึ่งของทีม
Mental Block ถูกทำลายแล้ว
เรื่องสุดท้ายคือสิ่งสำคัญและมีความหมายที่สุดสำหรับอาร์เซนอลในชัยชนะเหนือแมนฯ ซิตี้ แม้จะเป็นแค่เกมการกุศล ได้ประตูตีเสมอนาทีบาป และชนะในการดวลจุดโทษ
Mental Block หรือเรียกแบบไทยๆ ว่า กำแพงในใจของพวกเขาที่มีต่อแมนฯ ซิตี้ได้ถูกทำลายแล้วสักที เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าอาร์เซนอลจะมีความรู้สึกว่าพวกเขา ‘ตัวเล็ก’ กว่าทีมจากแมนเชสเตอร์เสมอเมื่อต้องลงสนามเจอกัน
แต่ในเกมนี้นักเตะกันเนอร์สแสดงให้เห็นว่าพวกเขาตัวโตทันกัน สามารถยืนแลกหมัดกันได้อย่างสนุก และต่อให้เสียท่าไปก่อนก็ยังตามมาจ้วงคืนได้ทัน
เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ เพราะไม่เพียงแต่ที่อาร์เซนอลจะรักษาความมั่นใจในฝีเท้าของตัวเองว่าจะไม่เป็นแค่ One Season Wonder หรือความมหัศจรรย์แค่ฤดูกาลเดียว แต่ยังต่อยอดตอกย้ำ ‘ความเชื่อ’ ว่าพวกเขาดีพอจะสู้กับแมนฯ ซิตี้ได้อย่างไม่เป็นรองในทุกด้าน
อาการดีใจแบบหลุดโลกของอาร์เตตาหลังประตูตีเสมอของทรอสซาร์ด หรือการฉลองแบบสะใจหลังได้โล่แชมป์การกุศล ต่อให้ใครจะมองในทางลบว่า “ก็เป็นแค่เกมการกุศล”, “แชมป์เดียวของปีนี้หรือเปล่า” ฯลฯ
แต่เชื่อเถอะ ชัยชนะเกมนี้สำคัญต่อใจจริงๆ สำหรับอาร์เซนอล
พวกเขาพร้อมสำหรับการล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบเต็มตัวครั้งแรกในรอบ 20 ปีแล้ว