นับว่าเปิดฉากขึ้นแล้วกับการห้ำหั่นอย่างดุเดือดบนสมรภูมิการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เมื่อสองมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 1 และ 2 ของโลกต่างงัดมาตรการภาษีมาตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางความตื่นตระหนกระคนหวาดวิตกของภาคธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลกว่า สงครามการค้าอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก
แต่บริบทของสงครามการค้ารอบนี้อาจดูกลับตาลปัตรในมุมมองของคนทั่วไป เมื่อสหรัฐฯ พยายามใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือลงโทษประเทศคู่ค้า จากที่เคยรับบทหัวหอกส่งเสริมการค้าเสรี ในขณะที่จีนซึ่งถูกมองเป็นประเทศที่ปกป้องการค้าสุดขั้วในอดีต กลับเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้กับลัทธิกีดกันการค้าทุกรูปแบบ
สาสน์เตือนจากทรัมป์ถึงจีน เร่งแก้ปัญหาขาดดุลการค้า-ขโมยทรัพย์สินทางปัญญา
ล่าสุดสำนักงานผู้แทนการค้าประจำทำเนียบขาวได้ประกาศขึ้นบัญชีสินค้านำเข้าจากจีน 1,300 รายการ รวม 5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งจะอยู่ในข่ายถูกเรียกเก็บอากรขาเข้าเพิ่มที่อัตรา 25%
มาตรการนี้เป็นผลสืบเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งซอฟต์แวร์ สิทธิบัตร และเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่สร้างความระหองระแหงระหว่างสหรัฐฯ และจีนเรื่อยมา โดยสินค้าที่อยู่ในรายการเก็บภาษีเพิ่มส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศ การบินและอวกาศ เครื่องจักร เครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์การเรียนการสอน
อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีดังกล่าวจะยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที เพราะคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้เสียก่อน
แต่หากสหรัฐฯ ดำเนินการจริง จะถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่จะนำไปสู่สงครามการค้าที่ดุเดือดยิ่งขึ้น เพราะในปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าในหมวดข้างต้นรวมมูลค่าราว 1.5 แสนล้านเหรียญ โดยส่วนใหญ่เป็นคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ดังนั้นจึงน่าจับตาว่าจีนจะตอบโต้อย่างไร
ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามการตัดสินใจของสหรัฐฯ ครั้งนี้ พร้อมขู่ตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีอย่างสาสม อีกทั้งเตรียมยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพราะเข้าข่ายผิดกฎกติกาการค้าระหว่างประเทศ
ก่อนหน้านี้ในยกที่ 1 ทรัมป์ได้ลงนามในประกาศมาตรา 232 เพื่อขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน 25% และ 10% ตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อลดช่องว่างการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยในปีที่แล้ว จีนส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 5.05 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปจีนเพียง 1.35 แสนล้านเหรียญ
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จีนปล่อยหมัดสวนสหรัฐฯ ด้วยมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้ารวม 148 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ในจำนวนนี้รวมถึงปรับขึ้นอากรขาเข้าเนื้อหมูแช่แข็งและอะลูมิเนียมที่อัตรา 25% ขณะที่จีนเป็นตลาดส่งออกเนื้อหมูใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญ
นอกจากนี้จีนยังเก็บภาษีเพิ่มที่อัตรา 15% กับสินค้าเกษตรหลายชนิดรวมถึงผลไม้แห้ง ผักสด และผลไม้สดอย่างแอปเปิ้ล ลูกเบอร์รี และถั่ว ไปจนถึงไวน์และโสม โดยสินค้าเกษตรที่สหรัฐฯ ส่งออกไปยังจีนมีมูลค่ารวม 2 หมื่นล้านเหรียญในปี 2017
สหรัฐฯ จะเจ็บหนักถ้าเปิดศึกการค้า
ขึ้นชื่อว่าสงครามย่อมสร้างความเสียหายให้กับทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชนะ สงครามการค้าในยุคโลกาภิวัตน์ก็เช่นเดียวกัน
สำนักข่าว CNBC ทำโพลสำรวจความคิดเห็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ ซึ่งพบว่าเกือบ 2 ใน 3 (65.8%) ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า กำแพงภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทสัญชาติอเมริกันเอง
นอกจากนี้เกือบ 87% ยังคิดว่ามาตรการเพิ่มอากรขาเข้าสำหรับสินค้าจีนจะไม่ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่มีเพียง 15.8% เชื่อว่านโยบายของทรัมป์จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจจีน
เกมยังไม่จบ นักวิเคราะห์เชื่อจีนยังยั้งมือ
แม้หลายคนจะเชื่อว่าจีนมีอาวุธเด็ดมากพอในการเอาคืนสหรัฐฯ แต่นักวิเคราะห์มองว่า ที่ผ่านมาจีนใช้มาตรการภาษีกับสินค้าบางอย่างโดยผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว และอาจหลีกเลี่ยงใช้มาตรการการค้าที่แข็งกร้าวขึ้น เพราะจีนไม่ต้องการให้สถานการณ์ความขัดแย้งบานปลาย เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังต้องพึ่งพาการส่งออกในฐานะพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
ประกอบกับจีนยังได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมหาศาล นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน ดังนั้นหากสองฝ่ายทำสงครามการค้ากัน จีนอาจจะเป็นฝ่ายที่เสียหายหนักกว่า
จากนี้ไปจีนมีวิธีตอบโต้เพิ่มขึ้นอย่างไร
นอกจากเนื้อหมูและท่อเหล็กแล้ว จีนมีบัญชียาวเป็นหางว่าวสำหรับสินค้านำเข้าที่จะดำเนินการปรับขึ้นภาษีเพื่อเล่นงานสหรัฐฯ ตั้งแต่สินค้าเกษตรอย่างถั่วเหลืองไปจนถึงเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่จาก Boeing
สำหรับถั่วเหลืองนั้น จีนถือเป็นลูกค้าที่รับซื้อถั่วเหลืองจากเกษตรกรสหรัฐฯ มากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 61% ของปริมาณการส่งออกถั่วเหลืองทั้งหมดของสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว
ในทางปฏิบัติ จีนสามารถนำเข้าถั่วเหลืองจากประเทศอื่นในอเมริกาใต้แทน โดยเมื่อปีที่แล้วจีนนำเข้าถั่วเหลืองจากบราซิลเพิ่มขึ้นถึง 35% ขณะที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเพียง 2% นอกจากนี้จีนยังเป็นตลาดส่งออกถั่วเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของบราซิล ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าจีนมีทางเลือกอื่นรออยู่ และพร้อมเมินหน้าหนีถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ได้ทุกเมื่อ
นอกเหนือจากสินค้าเกษตรแล้ว จีนยังสามารถตอบโต้ด้วยมาตรการการค้าในอุตสาหกรรมการบินได้ด้วย อย่างที่ทราบกันว่าตลาดการบินของจีนมีอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วน่าทึ่ง และจะเบียดแซงสหรัฐฯ ขึ้นแท่นตลาดการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2022 โดยสายการบินจีนมีแนวโน้มสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ใหม่เพิ่มอีก 7,240 ลำ ภายในปี 2037 คิดเป็นมูลค่าเกือบ 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อปี 2015 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ได้ลงนามสั่งซื้อเครื่องบินจากบริษัท Boeing รวมมูลค่าทั้งสิ้น 3.8 หมื่นล้านเหรียญ แต่จีนสามารถยกเลิกคำสั่งซื้อเหล่านี้และหันไปซื้อเครื่องบินจาก Airbus แทนได้ ในขณะที่จีนมีสัญญาจัดซื้อเครื่องบินของภาครัฐรวมมูลค่า 4.9 แสนล้านเหรียญ และไม่มีผลผูกพันกับกฎกติกาของ WTO เนื่องจากจีนไม่ได้ลงนามในกฎเกณฑ์ข้อนี้
นอกจากเครื่องมือทางการค้าแล้ว จีนยังมีออปชันเสริมในมืออีกมากมาย โดยหนึ่งในนั้นคือการเลือกเทขายสินทรัพย์ในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีขึ้นไป และควบคุมค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าความเป็นจริงเพื่อสร้างความได้เปรียบในการส่งออก
ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่า 1.17 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่ผ่านมาตัวเลขการถือครองมีการเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ แต่นับจนถึงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สัดส่วนการถือครองพันธบัตรโดยรัฐบาลจีนได้ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่จีนจะลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ แบบฮวบฮาบในคราวเดียวนั้นมีไม่มาก แต่ปัญหาใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ก็คือจีนอาจไม่สนใจซื้อพันธบัตรอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสหรัฐฯ อย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องออกพันธบัตรมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญในปีงบประมาณปัจจุบันเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณ โดยตัวเลขขาดดุลดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นไปอีก เนื่องจากนโยบายลดภาษีของทรัมป์และรีพับลิกันทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกพันธบัตรเพิ่มเติมให้กับประเทศอื่นๆ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ประชาชนอเมริกัน และธนาคารในสหรัฐฯ
เงินหยวน-ภาษีส่งออก ไพ่เด็ดจีน?
สหรัฐฯ ในยุคของรัฐบาลทรัมป์วิจารณ์จีนมาตลอดว่าเป็นประเทศปั่นค่าเงิน (Currency Manipulator) หรือจงใจทำให้เงินหยวนอ่อนค่ากว่าความเป็นจริงเพื่อสร้างความได้เปรียบในการส่งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนอย่างมหาศาล
ไม่ว่าจีนจะปั่นค่าเงินจริงหรือไม่ หรือเป็นเพราะเงินหยวนอ่อนค่าลงจากแรงกดดันของตลาด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนมีกลไกควบคุมเสถียรภาพของเงินหยวนอย่างเข้มงวด และหากจีนกดค่าเงินหยวนให้ต่ำลงหรือเพียงส่งสัญญาณที่จะทำเช่นนั้น ก็ย่อมส่งแรงกระเพื่อมไปยังตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการเห็น
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ทั้ง Apple, Microsoft, Intel และ Cisco Systems เองก็เกิดความวิตกและอยู่ไม่เป็นสุข หากรัฐบาลของพวกเขางัดข้อกับจีนอย่างไม่ลดราวาศอก เพราะบริษัทเหล่านี้มีฐานการดำเนินงานและโรงงานผลิตตั้งอยู่ในจีน โดยหนึ่งในมาตรการที่จีนอาจเลือกใช้เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ก็คือการเพิ่มอากรขาออกสำหรับสินค้าของบริษัทเทกอเมริกันที่ผลิตและใช้จีนเป็นฐานส่งออก นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังสามารถจำกัดขอบเขตหรือสร้างอุปสรรคในการลงทุนของบริษัทและนักลงทุนจากสหรัฐฯ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจีนจะงัดมาตรการไหนมาใช้ ผลเสียย่อมตกอยู่กับผู้บริโภคในประเทศที่ต้องแบกรับต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะปัญหาข้าวยากหมากแพงถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อาจสั่นคลอนระบอบการปกครองของจีน ในขณะที่จีนต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและต้องการเม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ เพื่อหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ
สงครามยักษ์ชนยักษ์สะเทือนไปทั่วโลก ไทยต้องกังวลแค่ไหน
การที่สหรัฐฯ และจีนเปิดศึกการค้าต่อกันยังอาจเป็นชนวนให้ลัทธิกีดกันการค้า (Protectionism) ขยายตัวไปทั่วโลกอย่างหลีกหนีไม่พ้น และปัญหาใหญ่จากกำแพงภาษีก็คือจะทำให้เกิดการเบนทิศทางการไหลของสินค้าไปยังประเทศอื่นแทนเพื่อระบายสต็อกสินค้า ส่งผลให้หลายประเทศอาจต้องเผชิญกับปัญหาสินค้าล้นตลาด ส่วนสินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และจีนก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) มองว่าการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมีเหตุผลเชิงนัยทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับจีนให้ได้มากที่สุด เพราะในปีที่ผ่านมา จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึงราว 3.7 แสนล้านเหรียญ
ส่วนเหตุผลด้านการเมืองคือ ทรัมป์ต้องการแสดงให้เห็นว่ารักษาคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ประกอบกับการเลือกตั้งกลางเทอมกำลังจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ดังนั้นทรัมป์จึงต้องพยายามรักษาฐานเสียงของตนเพื่อรับประกันจำนวนที่นั่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในสภาคองเกรสต่อไป
นอกจากการเมืองในประเทศแล้ว มาตรการภาษีของทรัมป์ยังถือเป็นกลยุทธ์ของทรัมป์ในเกมการเมืองระหว่างชาติมหาอำนาจ เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้ารอบนี้เจาะจงสินค้าจีนโดยเฉพาะ มิหนำซ้ำทรัมป์ยังบอกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการเพิ่มอีกในอนาคต
ส่วนนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับหลายประเทศรวมถึงจีน ท้ายที่สุด สหรัฐฯ ก็ได้พิจารณาผ่อนผันลงโดยยกเว้นภาษีให้กับสหภาพยุโรป (EU) ออสเตรเลีย บราซิล อาร์เจนตินา และเกาหลีใต้ได้ชั่วคราว ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนความพยายามของทรัมป์ในการสร้างสมดุลให้กับการเมืองภายในเพื่อรักษาฐานเสียงของตน พร้อมกับมัดใจประเทศพันธมิตรและคู่ค้าสำคัญ เช่น EU แคนาดา เม็กซิโก และออสเตรเลีย เป็นต้น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและกดดันจีนทางจิตวิทยาในสมรภูมิการค้าอย่างสมดุล
ผลกระทบและโอกาสของสินค้าไทย
EIC มองว่าสินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และจีน อาจได้รับผลกระทบหากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตและจีนได้ส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ข้อมูลจาก EIC ระบุว่า สินค้าที่มีสัดส่วนสำคัญของการส่งออกไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว และมีความเสี่ยงจะถูกเรียกเก็บภาษีด้วย ได้แก่
1. สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า, กล้องถ่ายรูป, จอ LCD, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, และ CPU (มีสัดส่วนรวม 23% ของการส่งออกจากไทยไปจีนทั้งหมด) ซึ่งจีนใช้สินค้าดังกล่าวในการผลิตโทรศัพท์มือถือ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และ CPU เพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ
2. พลาสติกขั้นพื้นฐาน (สัดส่วน 10% ของการส่งออกจากไทยไปจีนทั้งหมด) เป็นสินค้าที่จีนใช้ผลิตของเล่นและผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทั้งนี้ จีนอาจนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยน้อยลง เนื่องจากจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม ไทยอาจได้ประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนของจีน หรือได้ประโยชน์ในกรณีที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น ถึงแม้ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าจีนที่จะถูกเก็บภาษีอย่างชัดเจน แต่ทำเนียบขาวระบุว่าจะพยายามจำกัดผลกระทบโดยตรงที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคสหรัฐฯ ให้น้อยที่สุด
ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะเลือกเก็บภาษีในสินค้าที่สามารถนำเข้าจากประเทศอื่นทดแทนได้ ทำให้สินค้าจากไทยบางชนิดอาจส่งออกไปสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไทยส่งไปให้สหรัฐฯ ในสัดส่วนกว่า 48% ของยอดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทั้งหมด
นอกจากนี้การเล็งเก็บภาษีจากจีนเพียงประเทศเดียวก็อาจบีบให้บริษัทจีนพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนโดยหันไปขยายกำลังการผลิตในประเทศอื่นแทน ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่จีนอาจเข้ามาลงทุนเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าและใช้ไทยเป็นฐานส่งออก ซึ่งท้ายที่สุดก็จะช่วยให้ไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
หากเปรียบเชิงมวยของทั้งคู่ สหรัฐฯ เป็นฝ่ายรุกประชิดสาวหมัดใส่จีนตั้งแต่เสียงระฆังดังยกแรก ขณะที่จีนตกเป็นฝ่ายรับและคอยตั้งการ์ดปล่อยหมัดสวนเป็นระยะ แต่ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำยังไม่มีใครรู้แน่ชัด และคงต้องติดตามไปจนถึงยกสุดท้าย แต่ที่แน่ๆ คือศึกนี้ช่างหนักหนาสาหัส ทั้งคู่ต่างน่วมพอๆ กัน และผู้ที่เดือดร้อนก็คือประชาชนผู้บริโภคทั้งหลาย
Photo: AFP
อ้างอิง:
- money.cnn.com/2018/03/25/news/economy/china-us-tariffs/index.html?sr=twCNN032518economy0202PMStory
- www.bloomberg.com/news/articles/2018-03-23/from-boeing-to-soybeans-china-has-a-long-retaliation-list?utm_medium=social&cmpid=socialflow-twitter-business&utm_campaign=socialflow-organic&utm_content=business&utm_source=twitter
- www.nbcnews.com/news/world/china-warns-against-trade-war-appeals-cooperation-n859816
- www.cnbc.com/2018/03/22/china-responds-to-trump-tariffs-with-proposed-list-of-us-products-to-target.html
- www.cnbc.com/2018/04/01/china-announces-new-tariffs-on-us-meat-and-fruit-amid-trade-war-fears.html
- www.cnbc.com/2018/03/23/trumps-tariffs-trade-war-will-be-bad-for-us-and-china-cnbc-survey.html
- www.ft.com/content/71ebfe74-35d8-11e8-8eee-e06bde01c544
- www.washingtonpost.com/news/business/wp/2018/04/01/trade-war-escalates-as-china-vows-to-impose-tariffs-on-128-u-s-exports-including-pork-and-fruit/?utm_term=.9e4a7843fe90