เกิดอะไรขึ้นที่ฝรั่งเศส
เจ้าหน้าที่การรถไฟ (SNCF) หลายพันคนรวมตัวประท้วงนัดหยุดงาน หลังไม่เห็นด้วยกับนโยบายปฏิรูปองค์กรของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง โดยเริ่มชุมนุมกันตั้งแต่ ‘Black Tuesday’ หรือวันอังคารที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งตั้งใจจะนัดหยุดงาน 2 วันในทุกๆ 5 วัน สลับกันไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องกันนาน 3 เดือน จนถึงวันที่ 28 มิถุนายน
การชุมนุมประท้วงส่งผลให้ระบบการขนส่ง โดยเฉพาะทางรถไฟได้รับผลกระทบอย่างหนัก รถไฟความเร็วสูง (TGV) ในเขตเมืองและรถไฟระหว่างภูมิภาคเปิดให้บริการเพียงไม่กี่เที่ยวเท่านั้น กระทบผู้ใช้บริการรถไฟกว่า 4.5 ล้านคนต่อวัน ส่งผลต่อภาคการลงทุนและตลาดหุ้นในยุโรป
เหตุใดจึงจำเป็นต้องใช้นโยบายปฏิรูป
ประธานาธิบดีมาครงระบุว่า ปัจจุบันการรถไฟฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับภาวะหนี้สินมากกว่า 4.5 หมื่นล้านยูโร (ราว 1.72 ล้านล้านบาท) จึงจำเป็นต้องใช้นโยบายปฏิรูปดังกล่าวผ่านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อลดภาระหนี้สินและส่งเสริมการแข่งขันในภาคเอกชน เป็นเหตุให้สหภาพแรงงานการรถไฟต่างตระหนกกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ค่าตอบแทน รวมถึงสวัสดิการครั้งเกษียณอายุ
ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่การรถไฟได้รับสวัสดิการต่างๆ มากมาย แม้แบกรับภาระหนี้สินจำนวนมหาศาล มีการปรับขึ้นเงินเดือนอัตโนมัติ ได้รับวันหยุด 28 วันใน 1 ปีการทำงาน มีสิทธิ์เกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retire) ได้รับความคุ้มครองหลังถูกปลดออกจากตำแหน่งงาน นอกจากนี้สมาชิกในครอบครัวยังได้รับตั๋วโดยสารรถไฟฟรีอีกด้วย
ความท้าทายครั้งสำคัญของประธานาธิบดีมาครง
การนัดประท้วงหยุดงานขยายตัวเป็นวงกว้างไปยัง หน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสายการบิน Air France ที่เรียกร้องให้มีการขึ้นเงินเดือนราว 6% โดยนัดหยุดงานมาแล้วเกือบ 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีการประท้วงนัดหยุดงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานด้านพลังงานและพนักงานเก็บขยะที่เรียกร้องสวัสดิการที่ดีขึ้น ข้อเรียกร้องต่างๆ จากภาคแรงงานกำลังสร้างแรงกดดันให้แก่ผู้นำฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีมาครงนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ปี 2017 ที่ผ่านมา
อ้างอิง:
