×

EXCLUSIVE: เพราะความสวย…รอไม่ได้ ธุรกิจ ‘ศัลยกรรมความงาม’ โตต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่เอเจนซีบินไปถึงเกาหลีที่คนไทยยอมจ่าย แม้ราคาจะสูงกว่า 2 เท่า

10.07.2023
  • LOADING...

ไม่ว่าเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะซบเซามากแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อธุรกิจ ‘ศัลยกรรมความงาม’ ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่ากันว่าความสวย…นั้นรอไม่ได้ จึงไม่แปลกใจที่ธุรกิจจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มเอเจนซีที่พาบินลัดฟ้าไปทำสวยถึงประเทศเกาหลี

 

นพ.ฉัตรพล คงเฟื่องฟุ้ง พบ. แพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่ง และแพทย์ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง IDL เปิดเผยกับ THE STANDARD WEATH ว่า ปัจจุบันเทรนด์การศัลยกรรมได้รับการยอมรับจากทุกเพศทุกวัยมากขึ้น เพราะทุกคนต้องการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเอง เพื่อเพิ่มความมั่นใจและเปิดโอกาสให้ได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

และสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้คนทำศัลยกรรมคือช่องทางโซเชียลมีเดียที่เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน ทุกคนอยากดูดีโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาฟิลเตอร์ ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนเชื่อว่าการปรับภาพลักษณ์ตัวเองให้มีบุคลิกที่ดูดีขึ้นจะสามารถส่งเสริมให้หน้าที่การงานประสบความสำเร็จ และมีโอกาสถูกรับเข้าทำงานง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน

 

เทรนด์ที่น่าสนใจของการทำศัลยกรรม พบว่าคนไทยส่วนใหญ่นิยมทำศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นจมูก ตา ปาก เน้นทำออกมาให้ดูมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น หรือที่เราชอบพูดกันว่า ‘สวยขึ้นเหมือนไม่ได้ทำ’ และเริ่มมีการทำศัลยกรรมที่แปลกใหม่มากขึ้น เช่น ยกมุมปาก ตกแต่งอวัยวะเพศ ศัลยกรรมตัดซี่โครงทำให้หุ่นดีขึ้น เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ 

 

เมื่อ 20 ปีก่อน ‘ศัลยกรรม’ บ่งบอกฐานะที่ร่ำรวย 

 

เรียกได้ว่าแตกต่างจากสมัยก่อน ประมาณ 10-20 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การทำศัลยกรรมเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้รับการยอมรับมากนัก และมีโรงพยาบาลและแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทางค่อนข้างน้อย ทำให้มีราคาค่อนข้างสูง 

 

ดังนั้นการเข้าถึงได้จะต้องเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มคุณหญิง คุณนาย เพราะฉะนั้นสมัยก่อนบางคนก็มองว่าการทำศัลยกรรมออกมาให้คนรู้เลยว่าทำศัลยกรรม เพราะจะสามารถบ่งบอกถึงฐานะได้ด้วย 

 

สำหรับปัจจุบันธุรกิจศัลยกรรมความงามเกลื่อนไปหมด มีผู้เล่นทั้งรายเล็ก-รายใหญ่กระโดดเข้ามาในตลาดจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันกันทั้งในแง่ของราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าสมัยก่อน ดังนั้นผู้บริโภคจะต้องศึกษาในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยให้ดีก่อนตัดสินใจทำ 

 

แพทย์ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง IDL ยังประเมินว่า ใน 1-2 ปีข้างหน้าตลาดศัลยกรรมความงามมีแนวโน้มเติบโตขึ้น และมีการแข่งขันอย่างดุเดือด เห็นได้จากความเคลื่อนไหวของคลินิกต่างๆ ที่เริ่มปรับธุรกิจให้เป็นโรงพยาบาลมากขึ้น รวมถึง Idoli Clinic ก็ได้ปรับให้เป็นโรงพยาบาล ชูจุดแข็งเรื่องความปลอดภัยและมีมาตรฐาน เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

 

นพ.ฉัตรพล คงเฟื่องฟุ้ง ผู้บริหาร Idoli Clinic

 

ธุรกิจเอเจนซีศัลยกรรมเกาหลีโตไม่หยุด แม้ราคาสูงกว่าไทยถึง 2 เท่า

 

นพ.ฉัตรพลฉายภาพต่อไปว่า ธุรกิจเอเจนซีที่พาบินไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน สืบเนื่องมาจากตลาดศัลยกรรมเกาหลีใหญ่มาก มีผู้เล่นในตลาดเต็มไปหมด การแข่งขันก็สูงตามมาด้วย ทำให้ธุรกิจต้องหันมาพึ่งพาเอเจนซีเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ 

 

“ที่สำคัญประเทศเกาหลีมีการส่งเสริม โปรโมต และให้ความสำคัญกับการทำศัลยกรรมอย่างมากเมื่อเทียบกับไทย แถมยังมีการทำการตลาดแบบปากต่อปาก ทำให้คนไทยบางกลุ่มเริ่มนิยมออกไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีมากขึ้น”

 

จริงๆ แล้วศัลยกรรมไทยกับเกาหลีไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะบรรดาแพทย์เรียนตำราเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างคือเทรนด์การทำศัลยกรรมจะต่างกันเล็กน้อย โดยที่เกาหลีจะทำศัลยกรรมแบบองค์รวม เน้นความเป็นธรรมชาติ ขณะที่ไทยเองจะเน้นทำศัลยกรรมเฉพาะจุดให้เด่นขึ้นมาทันที

 

ส่วนในด้านราคาไม่แตกต่างกันมาก แต่ก่อนเกาหลีจะขึ้นชื่อว่ามีราคาสูง แต่เมื่อผู้เล่นเพิ่มขึ้นราคาก็ลดลง โรงพยาบาลศัลยกรรมหลายๆ แห่งมีราคาถูกกว่าไทย และโรงพยาบาลในไทยบางแห่งก็มีราคาสูงกว่าเกาหลี ขึ้นอยู่กับว่าทำศัลยกรรมประเภทไหน และคนที่เดินทางไปทำส่วนใหญ่จะทำทั้งหน้าหรือทั้งตัว แน่นอนว่าราคาค่อนข้างสูง 

 

หากสำรวจจะเห็นว่าการเดินทางไปศัลยกรรมที่เกาหลี ส่วนใหญ่จะเน้นทุบโหนก ตัดกราม ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายระดับ 1 แสนบาทขึ้นไป ซึ่งโดยเฉลี่ยจากเดิมราคาที่เกาหลีจะสูงกว่าไทยถึง 2 เท่า

 

เทรนด์ศัลยกรรมบริเวณใบหน้า จมูก ตา ปาก เติบโตขึ้นถึง 50% 

 

ขณะที่ ลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด หรือ MASTER ในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ภาพรวมตลาดศัลยกรรมในไทยปี 2566 คาดการณ์ว่ามีมูลค่าอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง 

 

“การทำศัลยกรรมบริเวณใบหน้า จมูก ตา ปาก เติบโตขึ้นถึง 50% เพราะคนรุ่นใหม่ต้องการดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้น”

 

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซเปิดศูนย์หัตถการ ยกคิ้ว ดึงหน้า ดึงคอ ซึ่งถือเป็นหัตถการยอดฮิต ควบคู่กับการทำการตลาดผ่านช่องทางโซเชียล ซึ่งถือเป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด 

 

และนอกจากลูกค้าชาวไทยแล้ว ยังมีลูกค้าต่างชาติ ทั้งพม่า กัมพูชา จีน และเวียดนาม ที่เดินทางเข้ามาทำ เน้นทำศัลยกรรมจมูกและหน้าอก ทำให้สัดส่วนลูกค้าต่างชาติขยับขึ้นมา 20% ส่วนลูกค้าคนไทยอยู่ที่ 80% 

 

สงครามราคาเริ่มเกิดขึ้น หลังแพทย์แห่เปิดคลินิกศัลยกรรม

 

เช่นเดียวกับ นพ.อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THE KLINIQUE กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า นอกจากกลุ่มศัลยกรรมความงามที่เติบโตแล้ว กลุ่มธุรกิจความงามและผิวหนังก็เติบโตเช่นเดียวกัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 60,000 ล้านบาทในอีก 6 ปีข้างหน้า เพราะคนที่เริ่มมีอายุและมีกำลังซื้อต้องการดูแลตัวเองมากขึ้น 

 

ขณะที่ตลาดศัลยกรรมก็ได้อานิสงส์จากช่องทางโซเชียล ทั้ง TikTok และ Facebook ที่สามารถทำการตลาดสื่อสารถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น 

 

และที่น่าจับตาดูหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เริ่มมีแพทย์หลายคนหันมาเปิดโรงพยาบาลเพื่อทำศัลยกรรมความงาม และส่วนใหญ่ก็จะมีฐานลูกค้าเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าทำให้การแข่งขันด้านราคาค่อนข้างสูง 

 

เช่นเดียวกับเดอะคลีนิกค์ที่มีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการด้านศัลยกรรมความงาม เช่น จมูกและหน้าอก เพียง 5-7% นอกจากนั้นจะเป็นเรื่องการให้บริการด้านผิวหนังและการดูแลรูปร่างด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่กำลังได้รับความนิยมและเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ซึ่งทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทั้งผู้ชายและผู้หญิง

 

ค่านิยมเรื่องการทำศัลยกรรมถูกยอมรับมากขึ้น

 

ด้าน นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ต่อไปว่า หลังจากเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ภาพรวมตลาดศัลยกรรมความงามก็เริ่มมียอดการทำศัลยกรรมมากขึ้น ทั้งในกลุ่มคนไทยและคนต่างชาติ ส่งผลให้โรงพยาบาลและคลินิกความงามต่างๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากค่านิยมที่เปิดกว้างเรื่องการทำศัลยกรรมที่ถูกยอมรับมากขึ้น

 

ขณะที่ตลาดศัลยกรรมตกแต่งและหัตถการทั่วโลกมีมูลค่า 63,400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท อัตราการเติบโตเฉลี่ย 9.6% ในช่วงปี 2022-2030 ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตลาดที่มากกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคบางกลุ่มเสียอีก

 

หากแบ่งตามเซ็กเมนต์ของขั้นตอนการทำ การทำศัลยกรรมแบบฉีดมีส่วนแบ่งรายได้มากกว่า 54% เซ็กเมนต์นี้เติบโตแรงเพราะไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน อีกทั้งความเจ็บปวดก็น้อยกว่า เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที รวมถึงต้นทุนต่ำ การทำที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ฉีดโบท็อกซ์ เติมสารเติมเต็มเนื้อเยื่ออ่อน และการลอกผิวด้วยสารเคมี

 

ด้านการทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดที่คนกำลังให้ความนิยม ได้แก่ การดูดไขมัน เสริมหน้าอก ปรับแต่งจมูก เพื่อเสริมภาพรวมของรูปร่างและใบหน้าให้เด่นชัดขึ้น

 

หากพิจารณาแค่กลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ไทยถือเป็นตลาดความงามที่มีอัตราเติบโตสูงกว่าประเทศอื่น เพราะศักยภาพและจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงไม่แปลกที่ไทยจะได้รับความนิยมจากทั่วโลก

นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด 

 

สำหรับโรงพยาบาลบางมดได้ต่อยอดขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อรองรับการทำศัลยกรรมความงามทุกรูปแบบ และเพื่อรองรับผู้ใช้บริการได้เพิ่มขึ้น 2-3 เท่า 

 

จริงๆ แล้วโรงพยาบาลไม่ค่อยได้เน้นการทำการตลาด ส่วนใหญ่ลูกค้าจะมาจากการบอกปากต่อปาก ที่สำคัญฐานลูกค้าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงระดับไฮเอนด์ โดยศัลยกรรมที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การดึงหน้า ตาสองชั้น เสริมหน้าอก เสริมจมูก และตัดหนังหน้าท้อง

 

ดังนั้น หนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของโรงพยาบาลคือการเดินหน้าในการขยายธุรกิจศัลยกรรม โฟกัสเซ็กเมนต์ใหม่ๆ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตมากขึ้น

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising