วันนี้ (4 กรกฎาคม) ที่ห้องแถลงข่าว อาคารรัฐสภา ภายหลังการโหวตเลือกผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในการประชุมผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ครั้งที่ 1
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
พิธากล่าวว่า การโหวตของรองประธานสภาคนที่ 1 ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. พิษณุโลก พรรคก้าวไกล คะแนนเสียงที่ได้มา 312 เสียง ส่วนนี้ต้องเข้าใจว่ามีพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ออกเสียง ทั้ง พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราว และสมาชิกที่ไม่ได้เดินทางมาวันนี้
ส่วนทางของพรรคก้าวไกลเองก็มี ส.ส. ที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ออกมาแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพวกเรา
สิ่งที่พวกเราได้แถลงข่าวต่อพี่น้องประชาชนใน 2-3 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น MOU จัดตั้งรัฐบาลครั้งแรก รวมถึงสิ่งที่เราได้แถลงร่วมกับพรรคเพื่อไทยเมื่อวานนี้ (3 กรกฎาคม) เป็นการผลักดันข้อตกลงต่างๆ ของพรรคจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีมากที่จะก้าวสู่การจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
ในขณะเดียวกันต้องขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า การพูดคุยของแกนนำพรรคก้าวไกล ตนเอง วันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ประธานสภา รองประธานสภาคนที่ 1 และคนที่ 2 การผลักดันกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับพี่น้องแรงงาน พี่น้องชาติพันธุ์ กฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสุราก้าวหน้า หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม จะไม่เป็นอุปสรรค
ทั้งนี้ พิธากล่าวถึงการลงคะแนนเสียงว่า แม้จะเป็นการลงมติครั้งแรก หลายท่านอาจจะกังวลว่าเป็นการลงมติแบบลับ แต่ทั้งนี้เราก็ยังพูดได้ว่าคะแนนแสดงให้เห็นความเป็นเอกภาพทั้ง 8 พรรคเต็มร้อย
เมื่อถามว่าหลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะมีการน้อมนำในส่วนของพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปฏิบัติใช้อย่างไรบ้าง พิธากล่าวว่า จะมีการน้อมนำพระราชดำรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่าชาติและประชาชนมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน
ด้านปดิพัทธ์กล่าวว่า ขอขอบคุณความสนใจของประชาชนในการติดตามการเลือกประธานสภา ที่ผ่านมายอมรับว่าเป็นความหนักอกหนักใจของพี่น้องประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนที่ต้องการความชัดเจน ซึ่งวันนี้ปรากฏแล้วว่าทุกอย่างดำเนินไปได้เรียบร้อยดี คะแนนเสียงที่ตนได้รับแม้จะมีการเสนอชื่ออีกท่านมาก็เป็นบรรยากาศการแข่งขันแสดงวิสัยทัศน์ และโหวตคะแนนที่ออกมาตนก็ได้รับความไว้วางใจในที่สุด
ฉะนั้นสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นอีก ทางคณะทำงานมีข้อตกลงว่าประธานสภาและทีมประธานสภาจะดำเนินการในวาระอย่างไรให้สภาไทยของเราสุจริต โปร่งใส และเป็นของพี่น้องประชาชนมากขึ้น ตนมีโอกาสได้คุยกับประธานสภาก็เห็นตรงกันในหลากหลายมิติว่าจะผสมผสานระหว่างประสบการณ์และความรู้ความตั้งใจ เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าด้วยกัน ตนคิดว่าจะเป็นส่วนผสมที่ดีมากที่ทำให้สภาของเราก้าวหน้าได้
สำหรับตนเป็นบทบาทใหม่ที่ท้าทายมากและจะตั้งใจทำหน้าที่เมื่อได้รับความไว้วางใจจากสภา
ปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า วาระที่จะทำได้โดยด่วนคือการปรับปรุงและหารือว่าการพิจารณากฎหมายต่างๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็จะต้องรอการจัดสรรจากประธานสภา
ในส่วนของเรื่องการผลักดันพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม ตนขอชี้แจงในฐานะ ส.ส. ว่าจะโหวตเห็นชอบในส่วนวาระที่ 2 และ 3 สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองประธานสภาเราจะเปิดกว้างถ้ากฎหมายดังกล่าวผ่านขั้นตอนในการเสนอ มีผู้รับรองถูกต้อง มีเนื้อหาที่ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เราก็จะสามารถบรรจุในที่ประชุมได้ทุกอย่าง ตนไม่ใช่ผู้ตัดสินว่ากฎหมายไหนควรเข้าหรือไม่ เราจะใช้เวทีของสภาและรัฐสภาเป็นตัววินิจฉัย