วันนี้ (4 กรกฎาคม) ที่อาคารรัฐสภา การประชุมผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ครั้งที่ 1 ก่อนการเปิดประชุมสภา เพื่อโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้น่าจะราบรื่นด้วยดี แต่ในช่วงเช้าพรรคก้าวไกลจะมีการประชุม ส.ส. เพื่อเน้นย้ำอีกครั้ง และอธิบายถึงกระบวนการทำงานและซักซ้อมการทำหน้าที่ของ ส.ส. พรรค ในการโหวตลงคะแนนให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งวันนี้ตนได้ส่งเลขาธิการพรรคไปพูดคุยกับ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ อีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องการเสนอชื่อเป็นประธานสภา
ทั้งนี้ พิธากล่าวถึงการเสนอชื่อ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. พิษณุโลก พรรคก้าวไกล เป็นรองประธานสภา คนที่ 1 ว่า ได้มีการทำความเข้าใจมาตลอดตั้งแต่เดิมตอนจะเสนอชื่อเป็นประธานสภาและร่วมกันตัดสินใจ แต่ปดิพัทธ์เป็นคนที่มีสปิริต ย้ำในจุดยืนว่าหน้าที่ไม่ใช่หน้าตา
อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าพรรคได้มีการคิดถึงแนวทางในกรณีหากมีพรรคการเมืองอื่นเสนอชื่อประธานสภาแข่งกับวันมูหะมัดนอร์ แต่เท่าที่ดูเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และเท่าที่ดูก็ตอบรับดี ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลและที่เป็นว่าที่ฝ่ายค้านน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนตัวจึงเห็นว่าการตัดสินใจของทั้ง 8 พรรคร่วมรัฐบาลเป็นการรักษาเอกภาพและมิตรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล และแสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นและคงเส้นคงวาของพรรคก้าวไกลว่าเรื่องของหลักการสำคัญกว่าตัวบุคคล
พิธากล่าวต่อว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับหัวหน้าพรรคประชาชาติแล้ว ท่านก็รับหลักการทุกอย่างในการบริหารสภาให้โปร่งใส มีเสถียรภาพ และยึดโยงกับประชาชน ดังนั้นในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่แถลงจุดยืนไปเมื่อวานนี้ (3 กรกฎาคม) เรื่องของตำแหน่งประธานสภาก็น่าจะจบลงแล้ว และเรื่องนี้ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าพรรครุกได้-ถอยเป็น แม้พรรคอันดับหนึ่งควรจะได้ตำแหน่งประธานสภา แต่เรื่องการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลก็มีความสำคัญ แสดงให้เห็นว่า เมื่อเวลารุกก็ต้องรุกให้สุด เมื่อเวลาก็ถอยถ้าไม่เสียหลักการและได้ในสิ่งที่เราต้องการจะเห็น
ส่วนกรณีที่พรรครวมไทยสร้างชาติแสดงจุดยืนว่า หากประธานสภายังมีแนวคิดที่จะแก้ไขในมาตรา 112 จะไม่โหวตสนับสนุนนั้น พิธาระบุว่า ส่วนตัวยังไม่เห็นรายละเอียดเรื่องนี้ เห็นเพียงพาดหัวข่าวของ ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชมว่าวันมูหะมัดนอร์เป็นคนที่มีประสบการณ์และมีความเหมาะสม
ทั้งนี้ พิธายอมรับว่า ได้มีการมองอนาคตทางการเมืองในระยะยาวไว้ แต่เวลาปฏิบัติเป็นวันต่อวัน พร้อมย้ำว่า พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด ซึ่งการทำงานก็มีทั้งเห็นพ้องต้องกันและต้องถกกันอยู่แล้ว แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่คุ้นเคยมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมาตามสภาพกาลของแต่ละพรรคที่แตกต่างกัน พร้อมชี้แจงว่า คำว่ารุกได้-ถอยเป็นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และบริบท ดูเป็นแต่ละกรณีไป คนเป็นผู้นำต้องตัดสินใจให้เป็น
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า วันมูหะมัดนอร์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ยุคไทยรักไทย จะถือเป็นการปาดหน้าตำแหน่งประธานสภานั้น พิธามองว่า วันมูหะมัดนอร์ถือเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดเป็นของตัวเอง และได้พิสูจน์ตนเองมาตั้งแต่ปี 2522 ภายใต้สังกัดพรรคการเมืองหลายพรรค จึงเชื่อว่าท่านเป็นตัวของตัวเอง จะทำให้รัฐสภาก้าวหน้าได้
ทั้งนี้ พิธายังกล่าวถึงความกังวลในการรวบรวมเสียงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้เราได้เสียง ส.ว. เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง