เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 19 มิถุนายน ชาริล ชัปปุยส์ เทพบุตรลูกหนังไทยวัย 25 ปี ได้ชูเสื้อหมายเลข 23 บนเสื้อสีใหม่กับสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดแชมป์ไทยลีกปี 2016 เป็นที่เรียบร้อย โดยถือเป็นการเสริมทัพรายที่ 6 ของกิเลนผยองในการแข่งขันไทยลีกเลกที่ 2 ครั้งนี้ และถือเป็นสโมสรที่ 3 ของชัปปุยส์ ในประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้เคยค้าแข้งให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และสุพรรณบุรี เอฟซี
โดยสาเหตุของการเลือกหมายเลข 23 ชัปปุยส์เผยว่า ไอดอลของเขามี 2 คนคือ ไมเคิล จอร์แดน และเดวิด เบคแฮม ซึ่งเคยสวมเสื้อหมายเลข 23 ทั้งคู่ นอกจากนี้หมายเลข 7 ในทีมนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว
การมาร่วมทีมครั้งนี้ของ ชัปปุยส์ในวัย 25 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงพีคของนักฟุตบอลอาชีพและหายจากอาการบาดเจ็บมาร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถช่วยเรียกเรตติ้งในการขายเสื้อ และลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ให้กับสโมสรได้มากขึ้นก็ตาม เนื่องจากการอยู่ในสโมสรใหญ่ที่มีการแข่งขันสูงเพื่อการลงสนามเป็น 11 คนแรก และหากไม่สามารถลงเป็นตัวจริงได้อย่างสม่ำเสมอ ก็อาจทำให้โอกาสติดทีมชาติไทยของเขาลดน้อยลงไปเช่นกัน
โดยชัปปุยส์ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถึงเป้าหมายการเข้ามาร่วมทีมเอสซีจี เมืองทองในครั้งนี้ว่า
“การย้ายมาร่วมทีมเอสซีจี เมืองทอง ครั้งนี้เหมือนเป็นความท้าทาย และ บทใหม่ในชีวิตของผม ผมมาที่นี่เพื่อคว้าแชมป์ เพื่อเป็นที่สุดของที่สุด ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่หากนักเตะทุกคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เป้าหมายของผมในการลงเล่นที่นี่คือ การพิสูจน์ตัวเองว่าผมดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เพื่อให้กลับคืนสู่ทีมชาติไทยได้อีกครั้ง และให้พวกเขาเห็นว่าผมเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในประเทศ
ผมรู้ว่าต้องมีความกดดันมหาศาล เพราะผมเป็นคนประสบความสำเร็จนอกสนาม และทำให้มีหลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบผม แต่แรงเชียร์ของแฟนบอลช่วยให้ผมมีกำลังใจและมีความแข็งแกร่ง
“ผมต้องการความท้าทายแบบนี้ สามปีที่สุพรรณบุรี เอฟซี ผมมีประสบการณ์ที่ดี ทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง แต่ผมคิดว่านี่คือเวลาที่ควรเริ่มต้นความท้าทายครั้งใหม่ และนี่คือสาเหตุที่ผมเลือกเมืองทอง ผมจะทำทุกอย่างเพื่อตัวจริง และเพื่อพาทีมสู่แชมป์ให้ได้
“ผมรู้ว่าต้องมีความกดดันมหาศาล เพราะผมเป็นคนประสบความสำเร็จนอกสนาม และทำให้มีหลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบผม แต่แรงเชียร์ของแฟนบอลช่วยให้ผมมีกำลังใจและมีความแข็งแกร่ง ซึ่งผมซาบซึ้งกับทุกเสียงเชียร์”
ชัปปุยยังได้ตอบถึงประเด็นที่ว่าคิดอย่างไรกับกระแสจากคนที่ไม่ชอบตัวเขาอีกด้วยว่า
“ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การที่มีคนไม่ชอบคุณ แสดงว่าคุณกำลังอะไรบางอย่างถูก ทำให้พวกเขาอิจฉา ซึ่งสิ่งที่ผมต้องทำคือ การแสดงฝีเท้าให้พวกเขาเห็นในสนาม”
ขณะที่ กฤติกร ธนมหามงคล บรรณาธิการบริหารเว็บไซต์โฟร์โฟร์ทูว์ ประจำประเทศไทยเชื่อว่า การแข่งขังภายในทีมจะช่วยให้ชัปปุยส์ก้าวกลับเข้าสู่ฟอร์มการเล่นที่ดีเหมือนในปี 2014
“แน่นอนว่าชัปปุยส์ต้องการความท้าทายใหม่ๆ และการที่เขาย้ายมาร่วมทีมอันดับหนึ่งของประเทศ มันทำให้เขายิ่งมีความกระหายในการเล่นฟุตบอลมากขึ้น บวกกับการแข่งขันที่อยู่ในทีม และคุณภาพผู้เล่นภายในทีม จะช่วยยกระดับฝีเท้าและความกระหายในการเล่นของเขามากขึ้น ในส่วนของสโมสรนั้น ชัปปุยส์ต้องพบกับการแข่งขันในแดนกลางสูง ทำให้ผู้เล่นทุกๆ คนต้องสร้างผลงานให้ดีที่สุดซึ่งนั่นจะส่งผลดีต่อเอสซีจี เมืองทองอย่างแน่นอน”
ทีมรวมดาวอย่าง ‘กิเลนผยอง’ จะมีผลกระทบต่อทีมชาติไทยอย่างไร
การที่นักฟุตบอลทีมชาติไทย มาร่วมตัวกันอยู่ในสโมสรเดียวนั้น แน่นอนว่าจะเป็นผลดีต่อทีมชาติไทยในแง่มุมที่นักฟุตบอลจะมีความคุ้นเคยกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นยูเวนตุส ซึ่งมี 4 ประสานในแดนรับ ประกอบไปด้วย ผู้รักษาประตู จานลุยจิ บุฟฟอน 3 กองหลัง ลีโอนาร์โด โบนุชชี, อันเดรีย บาร์ซาญี และจอร์โจ คิเอลลินี ซึ่งทั้ง 4 คนได้ลงเล่นตำแหน่งเดียวกันกับทีมชาติอิตาลี ส่งผลให้ทั้งทีมชาติ และสโมสรมีเกมรับที่แข็งแกร่งจากความคุ้นเคยและความเข้าใจกันของนักเตะ
แต่อย่างไรก็ตาม การที่นักฟุตบอลระดับทีมชาติมารวมกันอยู่ในสโมสรเดียวอาจทำให้มีการแข่งขันสูง และทำให้บางคนหมดโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาโดดเด่นเพียงคนเดียว และกลายเป็นที่สนใจของมิโลวาน ราเยวัช หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยชาวเซอร์เบีย ซึ่งจากสองเกมแรกกับทีมชาติไทย ต้องยอมรับว่า เขาทำการบ้านเกี่ยวกับนักฟุตบอลไทยในไทยลีกได้ดีพอสมควร
นอกจากนี้ กฤติกร ยังเสริมว่า ผลกระทบต่อทีมชาตินั้น เราเคยเห็นทีมชาติไทยมีทีมที่มาจากสโมสรบีอีซี เทโรศาสน 6-7 คน ก่อนจะมาเป็น เอสซีจี เมืองทอง เราเห็นทีมชาติที่เล่นเข้าขารู้ใจ ขณะที่ระดับโลกมีทีมชาติสเปนที่เคยประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลก และแชมป์ยูโร ผู้เล่นหลายคนมาจากสโมสรบาร์เซโลนา ทำให้นักเตะมีความเข้าขารู้ใจ แต่ขณะเดียวกันการแข่งขันภายในทีมของเอสซีจี เมืองทอง อาจทำให้นักฟุตบอลบางคนไม่สามารถลงสนามได้อย่างสม่ำเสมอ และส่งผลให้นักเตะในสโมสรอื่นที่มีโอกาสลงสนามเยอะกว่า ก็ย่อมมีโอกาสโชว์ฝีเท้าให้กับหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยได้เห็นมากกว่าเช่นกัน
สำหรับชัปปุยส์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการปลุกกระแสความนิยมของฟุตบอลทีมชาติไทย และฟุตบอลไทยลีก ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา และฝีเท้าดีกรีระดับแชมป์ยู-17 ฟุตบอลชิงแชมป์โลกปี 2009 กับทีมชาติรุ่นยู-17 ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการในทีมชาติไทย คว้าแชมป์ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ปี 2014 ก่อนจะย้ายจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรแรกในไทย ไปร่วมทีมช้างศึกยุทธหัตถีในปีนั้นแบบยืมตัวในปีเดียวกัน แต่แล้วชัปปุยส์ก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่เนื้อเยื่อหรือกระดูกอ่อนที่หัวเข่า จนต้องพักไปถึง 16 เดือน และต้องบินไปผ่าตัดถึงสวิตเซอร์แลนด์
หลังจากกลับมาลงสนามได้ในปี 2016 ชัปปุยส์ก็ยังไม่สามารถเรียกความฟิตและฟอร์มการเล่นกลับมาได้เหมือนเดิม ทำให้เขาติดทีมชาติไทยไปเพียง 3 นัด โดยลงเป็นตัวสำรองในเกมไปเยือนซาอุดีอาระเบีย ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในเกมที่ไทยเปิดบ้านพบกับญี่ปุ่น และลงเป็นตัวสำรองในเกมที่เปิดบ้านพบซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เหมือนในปี 2014 โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือความฟิตที่หายไป เนื่องจากไม่สามารถลงฝึกซ้อมได้เป็นเวลา 16 เดือน จนล่าสุดเจ้าตัวก็ได้เปิดตัวกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนยายน พร้อมเป้าหมายพาทีมคว้าแชมป์และกลับคืนสู่ทีมชาติไทย
ซึ่งการตัดสินใจมาร่วมทีมกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสู่เส้นทางกลับสู่ทีมชาติไทยของเขา แต่ความท้าทายที่เขาจะได้พบไม่ใช่เพียงแค่การลงสนามพบกับคู่แข่ง แต่เป็นการเรียกฟอร์มเก่งเพื่อให้เขาสามารถก้าวขึ้นเป็นนักเตะตัวจริงได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อพิสูจน์ให้มิโลวาน ราเยวัช เห็นว่าเขาก็คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในประเทศไทยคนหนึ่งเช่นกัน