เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research ได้จัดทำบทวิเคราะห์พรีวิวผลประกอบการ 2Q66 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับเพิ่มขึ้น 0.90%MoM ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 1.91%MoM
พรีวิวผลประกอบการ 2Q66:
InnovestX Research คาด กำไรสุทธิ 2Q66 ของกลุ่มธนาคารจะลดลง 6%QoQ (กำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ที่ลดลง) แต่จะเพิ่มขึ้น 7%YoY (NII เพิ่มขึ้นเนื่องจาก NIM ดีขึ้น) โดยคาดว่า BBL จะรายงานกำไรสุทธิ 2Q66 เติบโตแข็งแกร่งที่สุดที่ 8%QoQ และ 56%YoY
พรีวิวผลประกอบการ 2Q66 สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
- Credit Cost: คาดว่ากลุ่มธนาคารจะมี Credit Cost เพิ่มขึ้น 17bpsYoY และ 2bpsQoQ ใน 2Q66 NPL คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ การปรับเพิ่มอัตราการชำระสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างแล้ว แรงกดดันเงินเฟ้อ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น
- การเติบโตของสินเชื่อ: สินเชื่อของกลุ่มธนาคารเติบโตต่ำที่ 0.2%QTD, 0.6%YoY และลดลง 0.3%YTD ณ เดือนพฤษภาคม คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มธนาคารจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเดือนมิถุนายน ดังนั้นจึงคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อใน 2Q66 ที่ 1%QoQ, YoY และ YTD
- NIM: คาดว่า NIM ของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง YoY และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 25bps เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 และอีก 25bps เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ซึ่งคาดว่า NIM ของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้น 5bpsQoQ และ 37bpsYoY ใน 2Q66 คาดว่า NIM ของธนาคารขนาดใหญ่จะขยายตัวราว 2-8bpsQoQ ใน 2Q66 การมีสินเชื่อรถยนต์ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ในสัดส่วนสูง ทำให้คาดว่า TISCO และ KKP จะรายงาน NIM ลดลง 7-8bpsQoQ ใน 2Q66
- Non-NII: คาดว่า Non-NII จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ โดยมีสาเหตุมาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินและกำไรจากเงินลงทุนที่น้อย ลงรวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับตลาดทุนที่ลดลง
- OpEx: คาดว่า OpEx จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้น YoY (ค่าใช้จ่ายด้าน IT, ค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายการตลาด) และคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ของกลุ่มธนาคารโดยรวมจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ และลดลงเล็กน้อย YoY
แนวโน้มผลประกอบการในปี 2566:
สำหรับปี 2566 คาดว่ากำไรกลุ่มธนาคารจะเติบโต 13% โดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 4% NIM จะขยายตัว 23bps (หลักๆ เกิดขึ้นที่ธนาคารขนาดใหญ่) Credit Cost จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 6bpsNon-NII จะอยู่ในระดับทรงตัว (รายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัว) และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงเล็กน้อย
ประมาณการ NIM ที่คาดการณ์ไว้สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ (BBL, KTB, KBANK และ SCB) มีแนวโน้ม Upside เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้นอีกสู่ 2.5% ใน 2H66 สูงกว่าสมมติฐานที่ 2% ส่วนด้าน SCB EIC คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับสูงสุดที่ 2.5% ภายใน 3Q66 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายแล้ว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เลือก KTB (เรตติ้ง Outperform มีราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 21.0 บาทต่อหุ้น) และ BBL (เรตติ้ง Outperform มีราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 197.0 บาทต่อหุ้น) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคารเพราะ
- มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
- Valuation น่าสนใจ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
- ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
- การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง
- ผลกระทบจาก Fintech