วันนี้ (24 มิถุนายน) ตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ร่วมกันตรวจค้น 4 บริษัท ประกอบด้วย
- บริษัท สอดอ สไตล์ จำกัด
- บริษัท ไดนี่กรุ๊ป จำกัด
- บริษัท คาราเมล บิสคิท จำกัด
- บริษัท แฮปปี้ทรีเฟรนด์ จำกัด
สถานที่ตรวจค้น บริเวณถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
โดยเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบบุคคลและบริษัท เนื่องจากมีทรัพย์สินและพฤติกรรมใช้ชีวิตประจำวันอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งบุคคลดังกล่าวมีการไลฟ์ว่าเสียเงินจากการเล่นพนันออนไลน์จำนวน 35 ล้านบาท ในช่วงปีที่ผ่านมา 2565 ตามสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นข่าว ผู้ร้องจึงขอให้มีการตรวจสอบแหล่งที่มาของทรัพย์สินดังกล่าว
เนื่องจากมีประชาชนบางส่วนรับชมรายการผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของผู้ต้องหารายดังกล่าวถูกเชื้อเชิญให้ซื้อสินค้าต่างๆ โดยข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าบุคคลผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผู้มีชื่อเสียง มีผู้ติดตามหลายล้านคนในสื่อสังคมออนไลน์ โดยบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของกิจการหลายบริษัท โดยพบว่า
ไม่ได้ยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงมีการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าบริษัทที่ผู้ต้องหาเป็นเจ้าของกิจการ มีการยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงโดยไม่สอดคล้องกับทรัพย์สินและพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย ตามที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการใช้เงินเล่นการพนันตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท จึงน่าเชื่อว่ามีความผิดปกติทางบัญชี และอาจเกี่ยวเนื่องไปจนถึงการเสียภาษีประจำปี
หลังเข้าตรวจค้นพบว่า บริษัทแห่งนี้มีความผิดอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 และ พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 ในข้อหา ดังนี้
- ไม่ได้จัดเก็บเอกสารทางบัญชีไว้ที่สถานประกอบการ ซึ่งไม่ปฏิบัติตามมาตรา 13 โทษตามมาตรา 31 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
- ไม่ได้จัดทำใบหุ้นมอบให้กับผู้ถือหุ้น อันเป็นความผิดตามมาตรา 8 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- ไม่ได้จัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น อันเป็นความผิดตามมาตรา 10 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
- มีการย้ายเปลี่ยนแปลงสำนักงานและเพิ่มสาขาที่ใช้ในการประกอบกิจการ ซึ่งไม่ส่งคำบอกการเปลี่ยนย้ายสำนักงานแก่นายทะเบียนเพื่อจดทะเบียน อันเป็นความผิดตามมาตรา 14 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
โดยทั้ง 2 บริษัท มีโทษปรับทั้งส่วนนิติบุคคลและกรรมการที่มีอำนาจลงนามในฐานะบุคคล รวมโทษปรับสูงสุดที่ 275,000 บาท
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบเอกสารทางบัญชีของบริษัทที่อาจเข้าข่ายความผิดในเรื่องการรายงานเท็จ แก้ไข ละเว้นการลงรายการในบัญชีหรืองบการเงิน หรือแก้ไขเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีเพื่อให้ผิดความเป็นจริง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ. 2543
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาข้างต้น และอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเรื่องเอกสารทางบัญชีของบริษัทเพิ่มเติม