วันนี้ (29 พฤษภาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีร้องเรียน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ปมถือหุ้นสื่อ
ต่อมา นพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 ได้มาเข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต. ในคำร้องเดียวกัน โดยขอให้ กกต. เร่งพิจารณาและมีมติก่อนที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส่วนคำกล่าวที่ว่าขอให้พิธาได้ทำหน้าที่บริหารประเทศไปก่อนเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้นั้น ส่วนตัวเห็นว่าจะต้องยึดโยงกฎหมายไม่ใช่กฎหมู่
ด้าน สนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นผู้ร้อง แต่เดินทางมาวันนี้เพื่อขอให้ กกต. เร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนที่จะประกาศรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบความเสียหายขึ้นในวงกว้าง
พร้อมขอเรียกร้องไปยังพรรคก้าวไกลว่า พรรคก้าวไกลและพิธาขาดความชอบธรรมในการที่จะถูกเสนอชื่อไปเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเหตุผลคือ กกต. อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อร้องเรียนผลการเลือกตั้งเพื่อรับรองผลการเลือกตั้งให้ครบ 95% หรือ 476 คน เพื่อให้สามารถเปิดสภาเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรี
หาก กกต. จะส่งรายชื่อของพิธาที่มีข้อร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่ว่าจะพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทยจะกล้าเพียงพอที่จะเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะหากเมื่อไรประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอชื่อเข้าสู่ขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ขณะที่ กกต. ก็ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แล้วมีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ประเทศไทยก็จะมีช่องว่างในการปกครอง และรัฐบาลรักษาการก็ไม่สามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่
สนธิญากล่าวอีกว่า วันนี้ตนมาเร่งรัดและสอบถามไทม์ไลน์การพิจารณาของ กกต. เพื่อให้ประชาชนรู้ความจริงว่าจะมีนายกฯ ได้เมื่อไร และหากพิธาถือหุ้นจริงก็จะขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าตนไม่ได้โกรธเคืองใครเป็นพิเศษ และย้ำว่าพิธาขาดคุณสมบัติ
ส่วนการเคลื่อนไหวบนท้องถนนนั้น สนธิญากล่าวว่า ส่วนตัวก็มองว่ามีความเป็นไปได้ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจะออกมาเคลื่อนไหวลงถนน แต่หากคนไทยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและเคารพกฎหมายก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรกับคำพูดที่ว่าหลักนิติรัฐบิดเบี้ยว สนธิญากล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการทำประชามติโดยประชาชนเกือบ 17 ล้านเสียง ดังนั้นคำว่าบิดเบี้ยวจึงต้องถามกลับว่าบิดเบี้ยวในลักษณะใด ฝ่ายไหนบอกว่าบิดเบี้ยว และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการใช้มาแล้ว 4 ปีในสภาผู้แทนราษฎร ถ้าเห็นว่าบิดเบี้ยวทำไมไม่คิดแก้ เหตุใดไม่ดำเนินการในช่วงที่อยู่ในสภาผู้แทนราษฎร และในขณะนั้นก็มี ส.ส. ของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และทุกพรรคที่สามารถดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้
