หนึ่งในเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนที่น่าสนใจผ่านบทความของ Bloomberg ล่าสุด คือเรื่องราวการเดินทางไปเยือนกรุงโตเกียวของ Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนานของโลก วัย 92 ปี เมื่อเดือนที่ผ่านมา
การเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ Buffett ได้พบปะและพูดคุยกับบรรดากลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานและอุตสาหกรรมต่างๆ ของญี่ปุ่นเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนที่อาจจะกำลังเปิดกว้างอยู่ในขณะนี้ หลังจากที่เขาเริ่มเข้าไปลงทุนอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้งตั้งแต่ปี 2020
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หุ้น Defensive, หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าสู่เรดาร์นักลงทุน ช่วงสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- เมื่อญี่ปุ่นก้าวจาก ‘เงินฝืด’ สู่ ‘เงินเฟ้อ’ ผู้บริโภคอาจต้องรับเคราะห์จากของแพงขึ้น บนฐานเงินเดือนที่หยุดนิ่งมากว่า 30 ปี
- หุ้น 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทะยาน หลัง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เผยว่า กำลังพิจารณาซื้อเข้าพอร์ตเพิ่มขึ้น
หลังการสนทนาไปพร้อมกับแก้วโคคา-โคลาในมือ ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ต่างกล่าวกับ Buffett ไปในทิศทางเดียวกันว่า การค้าของญี่ปุ่นจำเป็นจะต้องเร่งตัวเพื่อขยายขอบเขตไปให้มากกว่าแค่สินค้าโภคภัณฑ์ และพวกเขาต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
แม้ Buffett จะเข้าลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นหลายตัวรวมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2020 พร้อมกับรับกำไรส่วนต่างมาพอสมควร แต่การพูดคุยในครั้งนี้เขายังคงต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งมุมมองของผู้บริหารต่อเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหากอิงจากผลพวงจากปัจจัยต่างๆ ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน Buffett เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ของ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้แก่ Mitsubishi Corp., Mitsui & Co., Sumitomo Corp., Itochu Corp. และ Marubeni Corp. ซึ่งบริษัทเหล่านี้กำลังปรับธุรกิจและเดินออกจากธุรกิจพลังงานฟอสซิลที่พวกเขาทำอยู่มาอย่างยาวนาน
แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ Buffett กำลังเดิมพันกับการที่บริษัทเหล่านี้เปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิล หรือสินค้าโภคภัณฑ์ แค่นั้นหรือ?
ในมุมของ Tadashi Yanai มองว่า “ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลคืออิทธิพลจากการอ่อนค่าของเงินเยน และ Buffett อาจจะคิดว่ามีบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งที่มีศักยภาพในการเติบโต บริษัทเทรดดิ้งต่างๆ ควรจะเป็นตัวช่วยแนะนำให้รู้จักตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น”
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2020 Buffett ได้เปิดเผยการลงทุนประมาณ 5% ใน 5 บริษัทเทรดดิ้งที่กล่าวมาข้างต้น คิดเป็นมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงที่การระบาดของโควิดกระทบอุปสงค์ต่อสินค้าโภคภัณฑ์และก๊าซธรรมชาติจนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ราคาถ่านหินก็ต่ำสุดในรอบปี นั่นส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ดิ่งลงอย่างหนักจนซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี
“หุ้นเหล่านี้เคยถูกขายที่ราคาที่ผมคิดว่าถูกอย่างเหลือเชื่อ” Buffett กล่าวกับ CNBC เมื่อเดือนก่อน
การลงทุนของ Buffett ในหุ้นญี่ปุ่น ณ ช่วงเวลานั้นดูแล้วน่าจะเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ชาญฉลาด ราคาน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซต่างฟื้นตัวอย่างรุนแรง ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทอย่าง Mitsubishi เพิ่มขึ้นเท่าตัวนับแต่เดือนสิงหาคม ปี 2020 ส่วนหุ้น Mitsui เพิ่มขึ้น 120% หุ้น Marubeni เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว ขณะที่หุ้น Itochu และ Sumitomo เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 65% ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์
Buffett กล่าวว่า “ผมดีใจอย่างยิ่งที่ Berkshire Hathaway มีส่วนร่วมในอนาคตของญี่ปุ่น และทั้ง 5 บริษัทเทรดดิ้งได้ขยายการร่วมทุนออกไปทั่วโลก และดูเหมือนจะมีพันธมิตรเพิ่มมากขึ้นอีก ผมหวังว่าอาจจะมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีต่อทุกฝ่ายตามมาในอนาคต”
ส่วนหนึ่งในหัวข้อสนทนาระหว่าง Buffett และผู้บริหารของบริษัทเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงประวัติศาสตร์ และความเป็นมาที่ว่าบริษัทเหล่านี้ถูกเรียกว่า Sogo Shosha หรือกลุ่มบริษัทที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
แม้กลุ่มบริษัทเหล่านี้จะไม่เป็นที่รู้จักมากนักสำหรับคนภายนอกญี่ปุ่น แต่สำหรับคนญี่ปุ่นเองแล้วพวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำเหล่านี้ โดยมีการจ้างงานนักเรียนระดับท็อปของประเทศด้วยเงินเดือนที่สูง และพัฒนาศักยภาพพนักงานด้วยการให้ทุนเรียนต่างประเทศ พนักงานของบริษัทเหล่านี้ฝังตัวอยู่ในทุกส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ไล่ตั้งแต่อุตสาหกรรมยานยนต์ถึงโลหะ และอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภค พนักงานเหล่านี้ยังยินดีที่จะเดินทางไปทำงานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโครงการพลังงานในแอฟริกาหรือแฟชั่นในเมืองมิลาน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของการที่บริษัทเหล่านี้กำลังมุ่งออกจากธุรกิจพลังงานฟอสซิลไม่ใช่เรื่องใหม่ บางบริษัทเริ่มสร้างกำไรจากธุรกิจที่ไม่ใช่พลังงานบ้างแล้ว แต่โดยส่วนใหญ่แล้วกำไรของบริษัทเหล่านี้ยังคงพึ่งพิงพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับ Buffett ล่าสุด บริษัทเหล่านี้ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องลดการพึ่งพิงธุรกิจพลังงานลงมากกว่านี้
เมื่อปี 2022 Mitsubishi ประกาศแผนที่จะลดการปล่อยคาร์บอน โดยจะลงทุน 1.2 ล้านล้านเยน หรือราว 8.8 พันล้านดอลลาร์ในธุรกิจสีเขียวภายในสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2025 รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายในธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานฟอสซิล ขณะที่ Mitsui มีกลยุทธ์การลงทุนระยะกลางตั้งแต่กลางปี 2020 โดยจะมุ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจเฮลท์แคร์และโภชนาการ
Sumitomo ได้ขายธุรกิจขุดเจาะน้ำมันในปี 2021 และให้พนักงานที่อยู่ในธุรกิจพลังงานฟอสซิลหันไปโฟกัสกับการหาโอกาสลงทุนด้านพลังงานสะอาด ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ขายเหมืองเงินและสังกะสีในโบลิเวียเมื่อต้นปีนี้ ส่วน Marubeni ตัดสินใจขายสินทรัพย์เกี่ยวกับน้ำมันในทะเลเหนือเมื่อปี 2021
แม้จะมีการพูดคุยถึงโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ แต่ประเด็นสำคัญคือบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ลืมว่าญี่ปุ่นยังคงต้องการพลังงาน รวมทั้งแร่เหล็ก เช่น นิกเกิลและทองแดงที่มีความสำคัญมากขึ้นอย่างมาก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงต้องรักษาความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญอย่างรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ขอให้บริษัทเหล่านี้ชะลอการลดสัดส่วนพลังงานฟอสซิลลงบ้างเพื่อป้องกันวิกฤตพลังงาน
ภายหลังการพูดคุยที่เกิดขึ้น Buffett ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei โดยเปรียบเทียบบริษัทเหล่านี้กับ Berkshire Hathaway และระบุว่าเขาชื่นชอบที่แต่ละบริษัทเตรียมแผนลงทุนอย่างดีสำหรับการทำงานร่วมกัน
ในมุมของ Lorraine Tan ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตราสารทุนของ Morningstar Asia มองว่า “Buffett อาจจะคิดว่าราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ยังคงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Values) และอีกปัจจัยคือสายสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์และลูกค้าที่บริษัทเหล่านี้สร้างขึ้นเป็นเรื่องยากที่จะเลียนแบบได้”
อ้างอิง: