UBS พยายามสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในการประชุมสามัญประจำปีในวันพุธที่ผ่านมา (6 เมษายน) หลังจากเข้าซื้อกิจการของ Credit Suisse คู่แข่งที่ล่มสลายไปเมื่อเดือนที่แล้ว โดยยอมรับว่าการเทกโอเวอร์เป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่ก็เป็น ‘ก้าวสำคัญ’ ของบริษัทเช่นกัน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้น 1,128 รายเดินทางมารวมตัวกันในบาเซิล สวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากต้องการทราบความชัดเจนเกี่ยวกับแผนการควบรวมกิจการ ท่ามกลางข่าวความขัดแย้ง ความเสี่ยงทางกฎหมาย และความสงสัยของสาธารณชน
โดยในงาน Colm Kelleher ประธาน UBS ยอมรับว่า การเข้าเทกโอเวอร์ Credit Suisse ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมาก หลังผู้ถือหุ้นเข้าแถวกันแสดงความกังวลเกี่ยวกับดีลการซื้อกิจการเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ซึ่งไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา
อย่างไรก็ตาม Kelleher ยังมองว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ก็ยังเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ ด้านการเงินโลกที่จะเร่งกลยุทธ์ที่ UBS มีอยู่ โดยมุ่งเน้นที่การเติบโตในสหรัฐอเมริกาและเอเชีย
“เราตัดสินใจในนามของสวิตเซอร์แลนด์ จากสถานะของ UBS ในสวิตเซอร์แลนด์ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับระบบการเงินโลก” Kelleher กล่าว
ทั้งนี้ การเทกโอเวอร์ดังกล่าวทำให้ UBS ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ให้กู้รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์
Kelleher ระบุอีกว่า การควบรวมกิจการดังกล่าวนำมาสู่การเริ่มต้นใหม่และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตสำหรับ UBS และ Credit Suisse ที่รวมกัน ไปจนถึงภาคการเงินของสวิสโดยรวม พร้อมเน้นย้ำว่า UBS จะยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารความมั่งคั่งและธุรกิจของสวิสต่อไป
ประธาน UBS ยังระบุว่า แม้ว่าเราจะไม่ใช่ผู้เริ่มดีลการซื้อเหล่านี้ แต่เราเชื่อว่าธุรกรรมนี้มีความน่าสนใจทางการเงินสำหรับผู้ถือหุ้นของ UBS แม้ว่ามีความเสี่ยงจำนวนมากจากการควบรวม โดยคาดว่าการควบรวมกิจจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี
ขณะที่ Lukas Gähwiler รองประธาน UBS กล่าวอีกว่า “นี่เป็นงานที่หนักหนาสาหัส” และ “เรามีเวลาเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้นในการดำเนินการตรวจสอบสถานะของเรา จึงมีคำถามมากมายที่ยังไม่มีคำตอบ ความไม่แน่นอนระดับสูงจะยังคงอยู่ ผมเข้าใจได้ว่าทำไมผู้คนถึงงุนงง หรือแม้กระทั่งโกรธ”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บอร์ด UBS เพิ่งมีมติให้ Sergio Ermotti อดีตซีอีโอกลับมารับตำแหน่งนี้อีกครั้ง เนื่องจากมองว่า Ermotti คือคนที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำภารกิจใหญ่อย่างการควบรวมครั้งนี้
โดยนักวิจารณ์หลายคนยังมองว่า การกลับมาของ Ermotti นับเป็นความพยายามที่จะเรียกคืนความเชื่อมั่น หลังจากชื่อเสียงที่สั่งสมมายาวนานในด้านเสถียรภาพทางการเงินของสวิตเซอร์แลนด์เริ่มสั่นคลอน
UBS รายงานกำไรทั้งปี 2022 อยู่ที่ 7.6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ตั้งแต่ช่วงสิ้นปี
อย่างไรก็ตามความกังวลยังคงอยู่ที่ขนาดของกิจการใหม่ ซึ่งมีสินทรัพย์การลงทุนรวมมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ จะสร้างความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว (Concentration Risk) มากเกินไปสำหรับเศรษฐกิจสวิสและเศรษฐกิจโลกหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- UBS ปิดดีลเทกโอเวอร์ Credit Suisse ควัก 3 พันล้านฟรังก์สวิส หวังคลายแรงกดดันตลาด
- บทเรียนจาก Credit Suisse ‘เมื่อความเชื่อมั่นสูญสิ้น ประวัติศาสตร์ 167 ปีต้อง (เกือบ) สิ้นสุด’
- ซีอีโอ UBS สั่งห้ามพนักงานแชร์ข้อมูลธุรกิจกับ Credit Suisse จนกว่า
ดีลควบรวมจะสมบูรณ์ แย้มเตรียมเลิกจ้างครั้งใหญ่เพื่อลดต้นทุน
อ้างอิง: