วันนี้ (22 มีนาคม) อนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามเหตุการณ์กรณีการปนเปื้อนวัสดุกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 (Cesium-137, Cs-137) ในโรงงานหลอมโลหะ จังหวัดปราจีนบุรี อย่างต่อเนื่อง สั่งการ กำชับแนวทางการทำงาน ป้องกันผลกระทบ วางแนวทางแก้ไขระยะยาวเพื่อปกป้องประชาชน รวมทั้งสั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่งชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณี ซีเซียม-137 หายออกจากโรงงานได้อย่างไร เพื่อหาตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้
อนุชายังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า หน่วยงานรัฐบาลได้ดำเนินการต่อกรณีซีเซียม-137 ดังนี้
- กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจในการเฝ้าระวังและตอบสนองกรณีวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ในพื้นที่เกิดเหตุ ณ จังหวัดปราจีนบุรี และดำเนินการตรวจสอบ ตรวจวัดระดับปริมาณรังสีในพื้นที่โรงงานหลอมโลหะที่เกิดเหตุ โดยพบการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ในเตาหลอมเหล็ก 1 เตา ในระดับต่ำ (0.07- 0.10 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง) และในระบบการดูดฝุ่น (Dust Filter) และระบบกรองฝุ่น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะบรรจุลงในถุงขนาดใหญ่และนำไปจัดเก็บรวมกับ 24 ถุงที่ตรวจสอบพบการปนเปื้อนก่อนหน้านี้ ขณะที่ในชิ้นส่วนอุปกรณ์ถ่ายเทน้ำเหล็กไม่พบการปนเปื้อน และจากการตรวจวัดระดับปริมาณรังสีบริเวณหน้าดินในพื้นที่โรงงาน และปริมาณรังสีในสิ่งแวดล้อม พบว่าระดับปริมาณรังสีอยู่ในระดับเท่ากับระดับปริมาณรังสีในธรรมชาติ (0.03-0.05 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง) ทั้งในพื้นที่โรงงานที่เกิดเหตุและพื้นที่โดยรอบโรงงาน รัศมีประมาณ 3 กิโลเมตร
ได้เก็บตัวอย่างน้ำ ดิน ในบริเวณโรงงานโดยรอบมาวิเคราะห์ และไม่พบว่าปนเปื้อน ขณะที่การตรวจวัดระดับรังสีไม่พบการฟุ้งกระจายในอากาศในอาคาร และไม่มีการปนเปื้อนออกมาภายนอก ซึ่งขณะนี้สารกัมมันตรังสีซีเซียมถูกบรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก ซึ่งถูกควบคุมและจำกัดพื้นที่แล้ว ส่วนสุขภาพของประชาชน ได้ตรวจสอบพนักงานภายในโรงงานกว่า 70 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยเก็บปัสสาวะและเลือดเพื่อตรวจหาสารกัมมันตรังสีตามวิธีมาตรฐาน และจากการตรวจสอบประวัติสุขภาพย้อนหลัง 1 เดือนของประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรีจากรายงานของโรงพยาบาล ไม่พบประชาชนรายใดมีอาการสุ่มเสี่ยงว่าเจ็บป่วยจากการได้รับสารกัมมันตรังสี
- กรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานสรุปผลการตรวจวัดระดับรังสีในอากาศ วันที่ 21 มีนาคม 2566 บริเวณพื้นที่ 6 จุดรอบโรงงานและพื้นที่ชุมชน พบค่าระดับของรังสีอยู่ในช่วงของค่ารังสีพื้นหลังตามธรรมชาติ (Natural Background Radiation) ซึ่งสรุปได้ว่า ไม่พบการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ในพื้นที่ชุมชนโดยรอบ
- จังหวัดปราจีนบุรีได้ประกาศให้กันบริเวณโรงงานเป็นเขตควบคุม พร้อมยืนยันว่าซีเซียม-137 ที่ปนเปื้อนในฝุ่นโลหะถูกควบคุมและจำกัดอยู่ในพื้นที่เฉพาะ และดำเนินการตรวจหาสารปนเปื้อนในร่างกายของพนักงานทุกคนรวม 70 คน แต่ไม่มีสารปนเปื้อนตามร่างกายของพนักงาน
- สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ยืนยันว่าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติอยู่ในพื้นที่ และทำการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยมีความมั่นใจว่ายังไม่พบสารปกติ และได้มอบเครื่องตรวจวัดระดับรังสีแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ติดตัวไว้ ซึ่งหากมีรังสีเครื่องตรวจวัดจะแสดงค่ารังสีปรากฏให้เห็น โดยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
- กระทรวงสาธารณสุข วางแผนรับมือหากเกิดการปนเปื้อนในร่างกาย แต่จนถึงขณะนี้ผลการตรวจสุขภาพเจ้าหน้าที่ในโรงหลอมและชาวบ้านโดยรอบ ยังไม่พบการปนเปื้อน และล่าสุดได้เปิดสายด่วน 24 ชั่วโมง ให้ประชาชนโทรมาสอบถามข้อมูลหากสงสัยว่าเสี่ยง ส่วนการตรวจสุขภาพชาวบ้านรอบโรงงานอยู่ในแผนการตรวจอยู่แล้ว โดยตั้งเป้าว่าจะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างน้อย 5 ปี
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ศ.นพ.วินัย วนานุกูล หัวหน้าศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี และหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ความรุนแรงของซีเซียม-137 ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีรังสีที่มีผลต่อร่างกายขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณของรังสีที่ได้รับ ระยะเวลาที่ได้รับ ส่วนของร่างกายที่ได้รับ
สำหรับผลต่อร่างกาย แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่
- ผลในระยะสั้น เมื่อมีการสัมผัสทางผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นแดง คัน บวม มีตุ่มน้ำหรือแผลเกิดขึ้น อาจมีขนหรือผมร่วงได้ หรือผลที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อได้รับปริมาณที่สูงมาก จะมีอาการนำ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หลังจากนั้นอาการจะหายไปชั่วคราวประมาณ 1-3 สัปดาห์ ต่อจากนั้นจะมีผลต่อ 3 ระบบหลักของร่างกาย ได้แก่ ระบบโลหิต ระบบทางเดินอาหาร และระบบประสาท ทั้งนี้ ขึ้นกับปริมาณสารที่ได้รับ
- ผลระยะยาว ที่สำคัญคือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
โดยสามารถรับสารซีเซียม-137 ได้ 2 ช่องทาง คือ
- รับรังสีจากภายนอก (External Radiation Hazard) สามารถป้องกันได้โดยใช้หลัก TDS Rule (Time, Distance, Shielding) โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด อยู่ห่างจากต้นกำเนิดรังสีให้มากที่สุด และใช้อุปกรณ์ในการกำบังรังสี หรือ
- รับรังสีจากแหล่งกำเนิดในร่างกาย (Internal Radiation Hazard) ที่เกิดจากการสูดลมหายใจ (Inhalation) หรือรับประทาน (Ingestion) สิ่งที่ปนเปื้อนซีเซียม-137
สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญของทั้ง 2 ช่องทาง คือผู้ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณหรือช่วงเวลาที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตามจากรายงานค่าปริมาณรังสีในอากาศและตัวอย่างดินรอบๆ บริเวณ พบว่ายังมีค่าใกล้เคียงกับปริมาณรังสีพื้นหลังซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต
“ยืนยันว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานปัญหาสุขภาพของประชาชนจากซีเซียม-137 การตรวจเลือดของคนงานยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ และจะตรวจซ้ำอีกในวันที่ 5 เมษายน 2566 ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ดูแลความปลอดภัยของประชาชน และดูแลการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทุกจุดรัศมีโดยรอบ ทั้ง ดิน น้ำ อากาศ ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์การทำงานตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วอย่างต่อเนื่อง เฝ้าระวังอย่างสูงสุด เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับอันตรายจากสารกัมมันตรังสี ขอให้ประชาชนไม่ตระหนก ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้” อนุชากล่าว