×

ประวิตรร่ายยาว บอกหัวใจตนเองใหญ่พอสำหรับ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ บทเรียน 8 ปีที่ผ่านมาคือ ต้องคิดใหม่ เพื่อสิ่งที่ดีกว่าเดิม

โดย THE STANDARD TEAM
15.03.2023
  • LOADING...

วันนี้ (15 มีนาคม) พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุถึงบทสรุปสู่การก้าวข้ามความขัดแย้ง 

 

“ทีมงานได้วิเคราะห์ให้ผมฟังว่าจดหมายทั้ง 5 ฉบับ ไม่มีใครโต้แย้งในสาระสำคัญในเรื่องของเนื้อหาจากสื่อและสังคม แต่ก็มีสื่อบางท่านตั้งคำถามว่าจะทำได้หรือไม่ ซึ่งนั่นก็แปลว่าหากทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อประเทศ สื่อบางท่านบ่นว่ายาวไปหน่อย ก็ต้องตอบว่าสังคมโดยทั่วไปมีทั้งผู้เข้าใจและไม่เข้าใจ รวมทั้งสื่อเองก็อาจจะมีความเข้าใจแตกต่างกัน ระหว่างสื่อที่ทำข่าวการเมือง กับสื่อเศรษฐกิจ หรือสื่อกีฬา ทีมงานจึงต้องระมัดระวังเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมโดยทั่วไป

 

“ด้วยเหตุนี้ทีมงานจึงขอให้ผมใช้วิธีการสื่อสารด้วยเฟซบุ๊กจะอธิบายได้ดีกว่า ชัดเจนกว่า เพราะหากผมทำในสิ่งที่ผมไม่ถนัดคือการให้สัมภาษณ์ ซึ่งผมเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว อาจจะถูกตีความหมายผิดไปจากที่ผมต้องการสื่อสาร และจะต้องมาตามแก้ไขในภายหลัง ซึ่งไม่เป็นผลดีแต่อย่างใดสำหรับการเมือง และสำหรับความคิดของผมที่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า”

 

พล.อ. ประวิตรระบุว่า จดหมายฉบับนี้จั่วหัวว่าเป็นบทสรุปสู่การก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งตนได้อธิบายไปแล้วในหลายฉบับที่ผ่านมาว่า ปัญหาความไม่เข้าใจในเรื่องของแนวคิดของฝ่ายอนุรักษนิยมกับฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยมมีมาอย่างยาวนาน แล้วก็ยังวนเวียนอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องความไม่เข้าใจในเรื่องที่มาของปัญหาว่าเกิดมาจากอะไร ทีมงานจึงถือโอกาสนี้อธิบายให้เข้าใจว่าประเทศไทยของเรานั้นเลือกที่จะปกครองในระบอบประชาธิปไตย นั่นก็คือการปกครองด้วยเสียงข้างมาก

 

กล่าวคือ ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน ก็จะถือว่าเป็นมติของประชาชน อันจะส่งผลให้ผู้สมัครท่านนั้นได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

 

และหากพรรคใดรวมเสียงข้างมากได้ก็จัดตั้งรัฐบาลในสภา ซึ่งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ในหลักการแล้วนับได้ว่าสภานี้เป็นสภาของประชาชน ไม่ใช่เป็นสภาของนักการเมือง

 

เมื่อสภาเป็นของประชาชน การใช้เสียงข้างมากเพื่อหาข้อยุติในความเห็นต่างบนผลประโยชน์ของส่วนรวมนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่นับว่าเป็นความขัดแย้ง ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการใช้มติของเสียงข้างมากในสภาบนผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง แล้วก็ไปอ้างว่าเป็นมติพรรค จึงไปฝืนความรู้สึกของมติประชาชนที่เห็นต่าง

 

และมีการทักท้วงจากสื่อและสังคมในกรณีที่ขัดแย้งกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่สภาก็ไม่ฟัง ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าสภาไม่ใช่เป็นของประชาชนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสภาของนักการเมือง จะเอาเป็นที่พึ่งต่อไปไม่ได้แล้ว และประชาชนก็ตัดสินใจออกมาต่อต้านมติของสภาและขับไล่รัฐบาล โดยไม่คิดแก้ไขตามกลไกของประชาธิปไตยคือรอให้มีการเลือกตั้ง

 

จึงทำให้เหตุการณ์ลุกลามกลายเป็นวิกฤตที่ทำให้ฝ่ายทหารต้องนำกำลังออกมาเพื่อยุติปัญหา ซึ่งเท่ากับว่าฝ่ายอนุรักษนิยมกลับเข้ามาควบคุมอำนาจอีกครั้งหนึ่ง

 

“นี่คือสิ่งที่ทีมงานพยายามอธิบายครั้งแล้วครั้งเล่าให้ผมฟัง เพื่อให้เข้าใจว่าที่มาของปัญหาเกิดจากภายในสภา แต่มาจบกันนอกสภา หลังจากฝ่ายอนุรักษนิยมควบคุมอำนาจได้ แต่ก็พ่ายแพ้ทุกครั้ง เมื่อการได้อำนาจต้องผ่านการเลือกตั้ง”

 

ในทางตรงข้าม ฝ่ายประชาธิปไตย แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่เสมอ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่มีพลังพอที่จะต้านทานการเข้ามาควบคุมจากกลไกที่มีอำนาจอย่างแท้จริงต่อโครงสร้างอำนาจของประชาชน

 

เมื่อประเทศต้องอยู่ในสถานะผู้ล้มเหลว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผลัดเข้ามาควบคุม อำนาจอาการหมดสภาพที่จะก้าวต่อไปสู่ความเจริญจึงเกิดขึ้นกับประเทศของเรา นโยบายของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ผู้นำทั่วโลกของแต่ละยุคแต่ละสมัยต่างก็ปรับเปลี่ยนนโยบาย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ การเมืองไทยก็เช่นกัน

 

นโยบายในการบริหารประเทศของแต่ละพรรคการเมืองที่ต่างก็กำลังเสนอออกมาในขณะนี้นับได้ว่าเป็นนโยบายที่ดี เพราะกลั่นกรองมาจากบุคลากรชั้นนำของแต่ละพรรค แต่เป็นที่น่าเสียดายหากนโยบายเหล่านั้นจะไม่ได้รับการนำไปใช้ เพราะต้องไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

 

“ผมตั้งใจว่าเมื่อพรรคผมเป็นรัฐบาล ผมจะตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก นำนโยบายดีๆ ของทุกพรรคที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียง เอามาทำและปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ได้มีความรังเกียจหรือแบ่งแยก หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ นี่คือการเมืองที่อยู่ในใจผม การเมืองที่ไม่ต้องมีผู้ชนะเด็ดขาด และไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ”

 

ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟู และพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก

 

“ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ผมพูดไม่เก่ง แต่ผมมีหัวใจ หัวใจที่ใหญ่พอจะยอมรับความแตกต่างทางความคิด เพื่อนำพาให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง วิธีที่ผมคิดไว้คือ ให้ความเคารพอย่างแท้จริงต่อประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น” พล.อ. ประวิตรระบุ

 

เพียงแต่ว่าเป็นประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาทเคารพในเสียงส่วนใหญ่ แต่เปิดใจรับฟังเสียงส่วนน้อยที่มีความรู้ ความสามารถ ด้วยเจตนาดีต่อความเป็นไปของประเทศ

 

“ที่ผมอยากจะย้ำคือ ขอให้เชื่อผม เหมือนที่ผมเชื่อตัวเองว่าผมทำได้ เพราะหัวใจผมใหญ่พอ มาก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เราจะอยู่กับความเห็นต่างที่มีมากด้วยความเห็นชอบ ไม่ใช่เห็นชอบกับสิ่งที่ตนเองคิด และจะคอยรับฟังการรายงานข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ โดยมีหลักคิดอยู่ในใจว่า ปัจจุบันคือแก้ไขอดีตที่ล้มเหลว เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า”

 

และนี่คือสิ่งที่นักการเมืองหลายท่านกำลังทำ ด้วยหลักคิดเดียวกันคือการย้ายพรรคจากฝ่ายรัฐบาลไปสู่ฝ่ายค้าน หรือจากฝ่ายค้านไปสู่รัฐบาล ซึ่งท่านคงมองถึงอนาคตที่ดีกว่า และก็คงทำต่อไปแม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์

 

“8 ปีที่ผ่านมาสอนให้ผมเรียนรู้และได้คิดว่า อะไรที่ดีกว่าเดิม เพื่อจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เป็นสิ่งที่ควรทำและจะต้องทำด้วยวิธีคิดใหม่ๆ เพราะการที่จะคิดอยากได้สิ่งใหม่ๆ โดยใช้วิธีเดิมๆ นั้นไม่น่าจะได้ผล ส่วนที่ผมคิดจะถูกหรือจะผิด ประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน”

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising