วันนี้ (8 มีนาคม) พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ‘พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ในหัวข้อ ‘ก้าวสู่วิถีประชาธิปไตย’
พล.อ. ประวิตรระบุว่า การที่เป็นนายทหารเติบโตจากชั้นผู้น้อยจนมาเป็น ‘ผู้บัญชาการทหารบก’ อยู่เป็นผู้หนึ่งในศูนย์กลางอำนาจรัฐ ประกอบกับการคบหาสมาคมกับคนในทุกวงการตามโอกาสที่อำนวยให้มากมาย ทำให้ตนเข้าใจ ‘โครงสร้างอำนาจของประเทศ’ เป็นอย่างดี เป็นโครงสร้างที่ส่งผลต่อการช่วงชิงและจัดสรรอำนาจจริง ไม่ใช่แค่โครงสร้างในรูปแบบที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปได้รับรู้
พล.อ. ประวิตรระบุอีกว่า ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน การต่อสู้ของ 2 ฝ่าย 2 แนวความคิด เป็นไปอย่างเข้มข้น ฝ่ายหนึ่งมองเห็นแต่ความเหลวแหลกของพฤติกรรมนักการเมือง, ความไม่รู้ ความไม่มีความสามารถของประชาชนที่จะเลือกคนมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารจัดการประเทศ เห็นแต่ ‘นักธุรกิจการเมือง-การลงทุนทางการเมืองเพื่อค้ากำไร แสวงหาผลประโยชน์-นักการเมืองที่มาจากผู้มีบารมีในท้องถิ่น เข้ามาขยายแหล่งผลประโยชน์จากอำนาจส่วนกลาง’
ผู้ประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน ทั้งที่เป็นข้าราชการและภาคเอกชน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุนที่ทำงานขับเคลื่อนประเทศ ส่วนใหญ่ทนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนักการเมืองในคุณสมบัติข้างต้นไม่ไหว การสนับสนุนให้ก่อร่าง ‘โครงสร้างอำนาจนิยม’ เกิดขึ้นจากความเหลือทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวของนักการเมือง
พล.อ. ประวิตรระบุต่อไปว่า ตนรับรู้ถึงกระแสสนับสนุน ‘การปฏิวัติรัฐประหาร’ ที่ไม่เคยหมดไปจากโครงสร้างอำนาจประเทศเรามาตลอด และมองความเป็นไปทั้งหมดอย่างเข้าใจว่าทำไมกลุ่มผู้มีอิทธิพลในการกำหนดความเป็นไปของประเทศจึงพากันคิดและร่วมกันลงมือเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม เหมือนชะตาชีวิตเอื้อให้ตนมีโอกาสเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมือง ตั้งแต่ในฐานะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่นำโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ได้ทำงานร่วมกับผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งรัฐมนตรี และ ส.ส. จนมาถึงได้ร่วมก่อตั้งพรรค และขยับมาเป็นหัวหน้าพรรค
ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ด้วยประสบการณ์ใหม่ และอุปนิสัยเดิมของตนที่รักในการคบหาสมาคมกับผู้คน ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตและความคิดของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมากขึ้น นักการเมืองในประเทศที่ประชาชนยังต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ มากมาย ด้วยโครงสร้างการบริหารจัดการประเทศไม่เอื้อให้ประชาชนพึ่งพาตัวเองได้
ขณะที่การบริหารจัดการของระบบราชการยังบกพร่องและเป็นปัญหาอยู่มาก นักการเมืองที่ถูกหมิ่นแคลนจากชนชั้นที่มีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้น กลับเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจปัญหา เป็นที่พึ่งที่หวังได้ในทุกเรื่องของประชาชน มากกว่าคนกลุ่มอื่นในโครงสร้างอำนาจ
พล.อ. ประวิตรระบุว่า ตนเริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ว่าการตัดสินว่าประชาชนไม่มีความสามารถในการเลือกคนดีมีความสามารถเข้ามาเป็นผู้แทนนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูก เพราะมองการตัดสินใจเลือกของประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบในโครงสร้างอำนาจแบบนี้เพียงมุมเดียว และเป็นมุมมองที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนึกคิด ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ และเมื่อชีวิตนักการเมืองของตนได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่ สัมผัสการทำงานของนักการเมืองพื้นที่ต่างๆ ทั้งด้วยภารกิจราชการอย่างเช่น การลงไปแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ต่างๆ และลงไปร่วมหาเสียง สร้างความนิยมให้สมาชิกพรรคในจังหวัดต่างๆ ตนได้รับรู้ว่าการปลูกฝังสำนึกประชาธิปไตยให้กับประชาชนนั้นไปไกลแล้ว
ทั้งที่ผ่านมาบทบาทของนักการเมืองส่วนกลางและนักการเมืองท้องถิ่นที่มีการเลือกตั้งกันทุกระดับ ทำให้ตนกลับมาย้อนมองผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไม ‘พรรคที่สนับสนุนอำนาจนิยม’ จึงพ่ายแพ้ต่อ ‘พรรคที่เดินในแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยม’ ทุกครั้ง เหมือนไม่มีหนทางในชัยชนะอยู่เลย
แม้ว่า ‘ฝ่ายอำนาจนิยม’ จะสร้างกติกา และแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาควบคุมกลไก เพื่อให้เอื้อต่อชัยชนะของฝ่ายตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายแค่ไหนก็ตาม เพราะความพ่ายแพ้นั้นเกิดจาก ‘อำนาจนิยม’ แม้จะครองใจคนบางกลุ่มได้ แต่ห่างไกลอย่างยิ่งต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ และด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจริงในชีวิตคนส่วนใหญ่ ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองของตนอย่างที่กล่าวมาแล้ว ทำให้เกิดความเชื่ออย่างหนักแน่นในใจว่า ในเส้นทางการบริหารจัดการประเทศ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย เคารพการตัดสินของประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ตนจะมองไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากปักความเชื่อมั่นใน ‘ระบอบประชาธิปไตย’ อย่างมั่นคงหนักแน่นเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยประสบการณ์ที่เรียนรู้และรับทราบถึงเจตนาดีต่อประเทศของคนกลุ่มที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามีความรู้ความสามารถ และยังคง ‘มีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ’ ทำให้ตนเกิดความเสียดาย และคิดว่าการหาทางประสานให้คนกลุ่มนี้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำพาประเทศย่อมเกิดผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบ้านเมือง และความคิดนี้เองเป็นที่มาของความมุ่งมั่น ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’
พล.อ. ประวิตรทิ้งท้ายว่า ตนขอให้ทุกคนเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์และเรื่องราวที่ตนสั่งสมมา จะทำให้ตน ‘ทำได้และจะทำได้ดีกว่าใคร’ ในความตั้งใจด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศนี้ ‘ขอให้เชื่อตนสักครั้ง’ และหลังจากนี้ตนจะเล่าให้ฟังต่อไปว่าจะทำอย่างไร
อ้างอิง: