การสู้รบอันดุเดือดยังคงดำเนินต่อไปทั้งในและรอบๆ เมืองบัคมุตทางตะวันออกของยูเครน โดยรัสเซียถล่มปืนใหญ่โจมตีเส้นทางเข้า-ออกเส้นทางสุดท้ายของบัคมุต หวังปิดล้อมเมืองโดยสมบูรณ์ และทำให้มอสโกเข้าใกล้ชัยชนะครั้งสำคัญครั้งแรกในรอบครึ่งปี หลังผ่านการสู้รบที่นองเลือดที่สุดของสงคราม
ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างของรัสเซียกล่าวว่า เมืองนี้ถูกทำลายจนเหลือแต่ซากปรักหักพังจากการโจมตีนานกว่า 7 เดือนโดยรัสเซีย และตอนนี้ถูกปิดล้อมเกือบหมดแล้ว โดยมีถนนเพียงสายเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่
“หน่วยของบริษัททหารเอกชน แวกเนอร์ (Wagner) ปิดล้อมบัคมุตไว้ได้เกือบหมดแล้ว” เยฟเจนีย์ พริโกซิน ผู้ก่อตั้ง และผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ กล่าวผ่านทางวิดีโอที่สำนักข่าว Reuters ระบุว่าถ่ายทำบนดาดฟ้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปทางเหนือประมาณ 7 กิโลเมตร
“เหลือเพียงเส้นทางเดียว” เขากล่าว
สำนักข่าว Reuters สังเกตการระดมยิงของรัสเซียในเส้นทางที่มุ่งหน้าไปทางตะวันตกของบัคมุต ซึ่งเป็นความพยายามที่ชัดเจนในการสกัดกั้นการเข้า-ออกเมืองของกองกำลังยูเครน นอกจากนี้สะพานในเมืองเล็กอย่างโครมูฟที่อยู่ติดกันก็ได้รับความเสียหายจากการระดมยิงโดยรถถังของรัสเซีย
ด้านทหารยูเครนกำลังเร่งซ่อมแซมถนนที่เสียหาย และกำลังทหารจำนวนมากเคลื่อนสู่แนวหน้า เป็นสัญญาณว่ายูเครนยังไม่พร้อมที่จะยอมแพ้ในเมืองนี้
ผู้นำกลุ่มแวกเนอร์เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี สั่งกองทัพยูเครนถอยร่นออกจากเมืองบัคมุตเพื่อช่วยชีวิตทหารของตนเอง พร้อมกับที่กล้องเคลื่อนไปจับภาพชาวยูเครนสามคนที่ถูกจับไว้ คนหนึ่งเป็นชายชรา และอีกสองคนเป็นเด็กชายที่ร้องขอกลับบ้าน
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า ดูเหมือนทั้งเคียฟและมอสโกกำลังประสบกับปัญหาการขาดแคลนกระสุนปืน และจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น
หัวหน้ากลุ่มแวกเนอร์ ซึ่งเป็นผู้นำการบุกถล่มเมืองบัคมุต เตือนเมื่อค่ำวันเสาร์ (4 มีนาคม) ว่า หากคนของเขาถูกบังคับให้ถอนกำลัง อาจนำไปสู่การล่มสลายของแนวหน้ารัสเซียทั้งหมด พร้อมกับต่อว่ากระทรวงกลาโหมของรัสเซียที่ไม่สนับสนุนความพยายามของแวกเนอร์ในแง่ของกำลังคนและกระสุน
โวโลดิเมียร์ นาซาเรนโก รองผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ชาติยูเครน กล่าวกับสถานีวิทยุ NV Radio ของยูเครนว่า สถานการณ์กำลัง ‘วิกฤต’ โดยมีการสู้รบ ‘หามรุ่งหามค่ำ’ ขณะที่ในการให้สัมภาษณ์กับ Kyiv24 ของยูเครนเมื่อวันอาทิตย์ เขาอธิบายสถานการณ์ในเมืองนี้ว่าราวกับ ‘นรก’
“พวกเขาไม่คำนึงถึงความสูญเสียในการพยายามเข้ายึดเมืองด้วยการโจมตี ภารกิจของกองกำลังของเราในบัคมุตคือสร้างความสูญเสียให้กับศัตรูให้ได้มากที่สุด” เขากล่าว ขณะที่ยอมรับว่า “ที่นี่มีชาวรัสเซียจำนวนมากเกินกว่ากระสุนที่เรามีจะทำลายพวกเขาได้”
ขณะเดียวกันที่วอชิงตัน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนอีกรอบ ประกอบด้วยกระสุนและการสนับสนุนอื่นๆ คิดเป็นมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือยูเครนแล้วเกือบ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียเปิดฉากเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022
รัสเซียตั้งเป้าหมายที่จะพิชิตบัคมุตเมื่อฤดูร้อนที่แล้ว และค่อยๆ เคลื่อนกำลังเข้าหาเมืองนี้ โดยกลุ่มทหารเอกชนแวกเนอร์สามารถเพิ่มความพยายามได้ในเดือนตุลาคม หลังจากเปิดรับนักโทษชาวรัสเซียหลายพันคนมาเป็นทหารกองหนุน โดยสัญญาว่าจะให้อิสรภาพแลกกับการมาร่วมทำสงคราม การพิชิตเมืองบัคมุต ซึ่งมีประชากรประมาณ 70,000 คนก่อนเกิดสงคราม จะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ครั้งแรกของรัสเซียในการโจมตีช่วงฤดูหนาวที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยรัสเซียกล่าวว่า การตีเมืองบัคมุตได้จะเป็นก้าวสำคัญในการยึดภูมิภาคดอนบาส ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของมอสโก
อย่างไรก็ดี โอเล็กซานเดอร์ มาร์เชนโก รองนายกเทศมนตรีเมืองบัคมุต กล่าวกับ BBC Radio 4 ว่า กองกำลังยูเครนยังคงควบคุมเมืองนี้ได้ แม้ว่าจะมีการสู้รบบนท้องถนน และกองกำลังรัสเซียพยายามทำลายเส้นทางเข้า-ออกเมืองก็ตาม
เช่นเดียวกับ โวโลดิเมียร์ นาซาเรนโก ผู้บัญชาการระดับสูงของยูเครน ที่กล่าวว่า กองกำลังยูเครนยังสามารถรักษาเสถียรภาพของแนวหน้าเอาไว้ได้ และกองกำลังรัสเซียยังคงอยู่ที่ชานเมือง
ขณะนี้กองกำลังรัสเซียยึดครองพื้นที่ 3 ด้านของเมืองบัคมุต ได้แก่ ทางตะวันออก เหนือ และใต้ ขณะที่มีถนนเพียงเส้นเดียวที่ยูเครนเป็นฝ่ายควบคุม อย่างไรก็ตาม สถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม (Institute for the Study of War) ในสหรัฐฯ ระบุว่า รัสเซียไม่น่าจะสามารถปิดล้อมเมืองได้ในเร็วๆ นี้
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ด้านการทหารของตะวันตกคาดการณ์ว่า ยูเครนจะสั่งถอนทัพจากบัคมุตในเชิงยุทธศาสตร์เพื่อจำกัดการสูญเสีย แต่กองทัพยูเครนยืนยันว่าพวกเขายังคงอยู่ โดยในการให้สัมภาษณ์กับ CNN เมื่อวันเสาร์ โฆษกของหน่วยภาคตะวันออกปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่ายูเครนกำลังวางแผนที่จะถอนทัพออกจากเมืองนี้
ภาพ: John Moore / Getty Images
อ้างอิง: