The Fabelmans คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของพ่อมดแห่งฮอลลีวูดอย่าง Steven Spielberg ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในวัยเด็กของตนเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นผลงานที่มีความเป็นส่วนตัวที่สุดของเขา อีกทั้งยังการันตีความดีงามด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 95 ถึง 7 สาขา เช่น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Michelle Williams) ฯลฯ
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของ Sammy Fabelman (Gabriel LaBelle) เด็กหนุ่มชาวยิวที่เติบโตขึ้นมาในยุคหลังสงครามโลกครั้งนี้ 2 วันหนึ่งครอบครัวของเขาเดินทางไปชมภาพยนตร์เรื่อง The Greatest Show on Earth (1952) จนกลายเป็นการจุดประกายให้เขาได้ค้นพบกับมนตร์เสน่ห์ของภาพยนตร์ และผลักดันให้เขาเริ่มต้นสร้างภาพยนตร์ของตัวเองขึ้นมา
บทความที่เกี่ยวข้อง:
แน่นอนว่าความพิเศษข้อหนึ่งของ The Fabelmans คือการเป็นภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติของหนึ่งในผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Steven Spielberg ที่เจ้าตัวลงมือเขียนบท (ร่วมกับ Tony Kushner) และกำกับด้วยตัวเอง ดังนั้นสำหรับใครที่เป็นแฟนตัวยงของ Steven Spielberg อยู่แล้ว เราเชื่อว่าคุณคงจะตีตั๋วไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไม่ลังเลแน่นอน
ส่วนผู้ชมคนไหนที่อาจจะไม่ได้ติดตามผลงานของ Steven Spielberg มากนัก หรืออาจไม่ได้อินกับเรื่องราวของผู้กำกับคนนี้เท่าไร สำหรับผู้เขียนคิดว่า หากเราลองตัดภาพการเป็นภาพยนตร์กึ่งชีวประวัติของเขาออกไป The Fabelmans ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์แนว Coming of Age ที่เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์และมีประเด็นที่ผู้ชมทุกวัยสามารถเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ได้ไม่ยากเช่นเดิม
กล่าวคือผู้ชมจะได้ติดตามเรื่องราวการเติบโตของ Sammy Fabelman กันตั้งแต่วัยเด็ก และความหลงใหลในภาพยนตร์ที่เริ่มมีอิทธิพลกับชีวิตเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งวันที่เขาได้เข้าโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก วันที่เขาหยิบกล้องฟิล์มขึ้นมาถ่ายหนังสั้นของตัวเองครั้งแรก และวันที่เขาได้ฉายหนังสั้นของตัวเองให้ทุกคนได้ดูเป็นครั้งแรก ควบคู่ไปกับปมปัญหาครอบครัวที่ค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อความคิดและการดำเนินชีวิตของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เพียงแค่นั้น อีกหนึ่งความคมคายของเรื่องนี้คือการที่ Steven Spielberg ร้อยเรียงเรื่องราวของ ‘ชีวิตประจำวัน’ เข้ากับ ‘การสร้างภาพยนตร์’ เพื่อฉายภาพให้เราเห็นว่าเรื่องราวในชีวิตจริงและโลกมายาบนผืนผ้าใบใหญ่นั้นมีจุดเชื่อมโยงและส่งอิทธิพลต่อกันมากกว่าที่คิด เช่น หลากหลายเรื่องราวในจินตนาการที่ผู้สร้างรังสรรค์ขึ้นมาผ่านภาพยนตร์ล้วนมีเชื้อไฟมาจากประสบการณ์ ความทรงจำ หรือความรู้สึกของผู้สร้างอยู่ไม่มากก็น้อย
ไปจนถึงการฉายภาพให้เราเห็นถึง ‘เวทมนตร์’ ของการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์ ทั้งการตัดต่อ การใส่เสียงดนตรีประกอบ หรือสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่ค่อยๆ ร่ายมนตร์ให้เรารู้สึก เชื่อ และหลงใหลไปกับเรื่องราวตรงหน้าที่ผู้สร้าง ‘ต้องการให้เชื่อ’ ควบคู่ไปกับการ ‘หลอกตา’ เพื่อปกปิดความจริงบางอย่างที่ผู้สร้างไม่อยากเปิดเผย ซึ่งก็ดูจะคล้ายคลึงกับชีวิตมนุษย์ที่หลายครั้งเราก็พยายามที่จะคัต ตัดต่อ หรือหันกล้องหนีจากความจริงบางอย่างที่เราไม่อยากให้คนอื่นเห็น
พร้อมกันนั้นเรื่องราวดังกล่าวยังสะท้อนภาพให้เราเห็นถึงมุมมองของ Steven Spielberg ที่มีต่อโลกภาพยนตร์ไปพร้อมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์และผู้กำกับที่เขาชื่นชอบตั้งแต่เด็ก ความหมกมุ่นกับการสร้างภาพยนตร์ของตัวเองชนิดที่ไม่อาจละสายตาไปจากมันได้ รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในวัยเด็กที่ส่งผลมาถึงผลงานการกำกับของเขาหลายๆ เรื่อง
ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกบอกเล่าผ่านสายตาและชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของ Steven Spielberg ที่มีทั้งความคอเมดี้ที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้เราเป็นระยะ งานสร้างที่เปี่ยมไปด้วยศิลปะทางภาพยนตร์ และพาร์ตดราม่าที่เปิดโอกาสให้ทีมนักแสดงมากฝีมือได้ประชันบทบาทกันอย่างเข้มข้น เป็นการย้ำเตือนให้เราเห็นว่า Steven Spielberg ยังคงเป็นผู้กำกับมากฝีมือที่ทำให้เราหลงใหลและตกหลุมรักไปกับเรื่องราวที่เขานำเสนอได้อย่างอยู่หมัดเช่นเดิม
ในภาพรวมแล้ว The Fabelmans คือภาพยนตร์ในการกำกับของ Steven Spielberg ที่เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์ที่ชักชวนให้เราเข้าไปสำรวจเรื่องราวของภาพยนตร์ได้ตลอดทั้งเรื่อง เสริมด้วยประเด็นของตัวละครที่ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงไปกับพวกเขาได้ไม่ยาก ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยมวลความรู้สึกอันล้นเหลือที่ Steven Spielberg มีต่อโลกภาพยนตร์ที่เขาหลงใหล จนเราอาจตีความได้ว่า The Fabelmans เปรียบเสมือนจดหมายรักที่เขาอยากมอบให้กับโลกภาพยนตร์และตัวเองในวัยเยาว์ก็คงไม่ผิดนัก
และไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนตัวยงของ Steven Spielberg หรือไม่ แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเรื่องราวที่ฉายภาพอยู่บนผืนผ้าใบใหญ่เช่นเดียวกัน เราเชื่อว่าคุณจะตกหลุมรักภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก
The Fabelmans เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่:
