ฟุตบอลโลก 2022 รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามลูเซล ไอคอนิก สเตเดียม เป็นการพบกันของแชมป์โลก 2 สมัย อย่าง อาร์เจนตินา ในเสื้อลายฟ้า-ขาว พบกับ ฝรั่งเศส ในเสื้อสีน้ำเงิน
โดยเกมนี้ อาร์เจนตินามาในระบบ 4-3-3 โดยมี เอมิเลียโน มาร์ติเนซ เป็นผู้รักษาประตู กองหลัง 4 คนมี นาอูเอล โมลินา, นิโกลัส โอตาเมนดี, คริสเตียน โรเมโร และ นิโกลัส ตาเกลียฟิโก กองกลาง 3 คนใช้ เอนโซ เฟร์นันเดซ, อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ และ โรดริโก เด ปอล กองหน้า 3 ประสาน ได้แก่ ลิโอเนล เมสซี, อังเคล ดิ มาเรีย และ ฮูเลียน อัลวาเรซ
ขณะที่ฝั่งฝรั่งเศสมาในระบบ 4-2-3-1 เช่นเคย โดยที่มี อูโก โญริส เป็นผู้รักษาประตู กองหลัง 4 คนมี ชูลส์ กุนเด, ราฟาแอล วาราน, ดาโยต์ อูปาเมกาโน, เตโอ แอร์กน็องเดซ กองกลางตัวรับ 2 คนใช้ อาเดรียง ราบิโอต์ คู่กับ โอเรลีแย็ง ชูอาเมนี ตัวรุก 3 ประสาน ได้แก่ อุสมาน เดมเบเล, อองตวน กรีซมันน์, คีเลียน เอ็มบัปเป และทางด้าน โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ยืนตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า
เริ่มเกมได้ 5 นาที อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ ได้โอกาสทักทายให้อาร์เจนตินา ด้วยการลองสับไกนอกกรอบเขตโทษ แต่บอลยังตรงตัว อูโก โญริส รับไว้ได้
นาทีที่ 8 อาร์เจนตินาได้โอกาสอีกครั้ง จากการลองยิงไกลนอกกรอบของ โรดริโก เด ปอล แต่บอลยังไปแฉลบ ราฟาแอล วาราน ออกหลังไป
นาทีที่ 17 อาร์เจนตินาทำเกมขึ้นมาก่อนที่จังหวะสุดท้าย จะเป็น อังเคล ดิมาเรีย ได้ยิงแถวเส้นกรอบเขตโทษ แต่ยิงข้ามคานออกหลังไปไกล
นาทีที่ 20 ฝรั่งเศส ได้ลุ้นประตูจากจังหวะฟรีคิกริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย อองตวน กรีซมันน์ เปิดบอลเข้าไปให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ได้โหม่ง บอลข้ามคาน แต่ในจังหวะขึ้นเทคตัวโหม่ง ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกฟาวล์ของ ชิรูด์ จากจังหวะไปขึ้นค้ำคู่แข่งก่อนแล้ว
นาทีที่ 21 อาร์เจนตินามาได้ลูกที่จุดโทษ เมื่อ อังเคล ดิ มาเรีย เลี้ยงบอลผ่าน อุสมาน เดมเบเล ไปในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ เดมเบเล จะตามไปทั้งผลัก และเตะ ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกจุดโทษทันที ก่อนที่ ลิโอเนล เมสซี จะรับหน้าที่สังหารใม่พลาด ให้อาร์เจนตินาออกนำก่อน 1-0
นาทีที่ 36 อาร์เจนตินามาได้ประตูที่ 2 จากจังหวะโต้กลับ เมื่อ ลิโอเนล เมสซี ดีดบอลให้ ฮูเลียน อัลวาเรซ จ่ายบอลให้ อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ ก่อนไหลบอลไปที่เสาไกลให้ อังเคล ดิ มาเรีย ยิงผ่านตัว อูโก โญริส เข้าไป กลายเป็นประตูให้อาร์เจนตินาหนีห่าง 2-0 เวลาที่เหลือในครึ่งแรกไม่มีประตูเพิ่ม จบครึ่งแรก อาร์เจนตินานำฝรั่งเศสก่อน 2-0
ครึ่งหลัง อาร์เจนตินายังเปิดเกมบุกเข้าใส่ และได้ลุ้นประตูก่อนในนาทีที่ 49 จากการเปิดไปที่เสาไกลของ อังเคล ดิ มาเรีย ไปถึง โรดริโก เด ปอล ได้ทิ้งตัววอลเลย์ แต่บอลยังเบาและไปตรงตัว อูโก โญริส รับเอาไว้ได้
นาทีที่ 59 ยังเป็นทัพ ‘ฟ้าขาว’ ที่สร้างโอกาสได้จะแจ้งกว่า เมื่อ อังเคล ดิ มาเรีย ไหลบอลให้ ฮูเลียน อัลวาเรซ หลุดไปยิงในกรอบเขตโทษ แต่บอลยังถูก อูโก โญริส ล้มตัวปัดไว้ได้
นาทีต่อมา อาร์เจนตินาได้ลุ้นต่อเนื่อง เมื่อ อังเคล ดิ มาเรีย ไหลบอลจากในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายเข้ามาตรงกลาง อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ ปล่อยบอลลอดขาไปให้ ลิโอเนล เมสซี เตะบอลหนึ่งจังหวะก่อนยิงด้วยขวา แต่บอลไม่ตรงกรอบออกหลังไป
นาทีที่ 71 คีเลียน เอ็มบัปเป ได้โอกาสจบสกอร์ครั้งแรกในเกมนี้ หลังเลี้ยงตัดจากฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ เข้ามาตรงกลาง ก่อนลองยิงแถวเส้นเขตโทษ แต่บอลเหินข้ามคานออกหลังไป
นาทีต่อมา อาร์เจนตินาได้ลุ้นทำประตูอีกครั้ง จากการพยายามทำเกมของ ลิโอเนล เมสซี ก่อนไหลบอลให้ เอนโซ เฟร์นานเดซ ได้ยิงหน้ากรอบเขตโทษ แต่บอลยังไปตรงตัว อูโก โญริส รับเอาไว้ได้
นาทีที่ 79 ฝรั่งเศสมาได้ลูกที่จุดโทษจากจังหวะโต้กลับ นิโกลัส โอตาเมนดี ไปดึง ร็องดาล โคโล มูอานี ล้มลงในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกที่จุดโทษ ก่อนที่ คีเลียน เอ็มบัปเป จะสังหารจุดโทษเข้าไปไม่พลาด ทำให้ทัพ ‘ตราไก่’ ไล่มา 1-2
นาทีที่ 82 ฝรั่งเศส มาตีเสมอได้สำเร็จ เมื่อ คิงสลีย์ โกมัน ไปตัดบอลได้จาก ลิโอเนล เมสซี ก่อนที่บอลจะไปถึง คีเลียน เอ็มบัปเป เล่นวัน-ทูกับ มาร์คุส ตูราม ก่อนที่ เอ็มบัปเป จะทิ้งตัววอลเลย์ในจังหวะสุดท้าย บอลพุ่งเสียบเสาไกลไปอย่างงดงาม ตีเสมอเกมนี้เป็น 2-2 ได้สำเร็จ
นาทีที่ 90+2 ฝรั่งเศส มาได้โอกาสลุ้นอีกครั้ง จากการพาบอลขึ้นมาของ คีเลียน เอ็มบัปเป ก่อนลองยิงนอกกรอบเขตโทษ แต่บอลแฉลบข้ามคานออกหลังไป
นาทีต่อมา โอกาสยังเป็นของฝรั่งเศส ขึ้นเกมทาทางกราบซ้าย ก่อนหักบอลกลับมาให้ อาเดรียง ราบิโอต์ ได้ยิง บอลไปติดเซฟ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ รับบอลกระฉอกในจังหวะแรก แต่ตามมาตะปบไว้ได้
นาทีที่ 90+7 อาร์เจนตินา เกือบมาได้ประตูชัย จากจังหวะที่ โรดริโก เด ปอล ฝากบอลให้ ลิโอเนล เมสซี ก่อนที่ เมสซี จะตัดสินใจยิงหน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งเสยใต้คานแต่ อูโก โญริส บินมาปัดออกหลังไปได้
เวลาที่เหลือไม่มีจังหวะลุ้นเพิ่ม ทำให้จบ 90 นาที อาร์เจนตินา เสมอกับ ฝรั่งเศส 2-2 ต้องต่อเวลาออกไปอีก 30 นาทีเพื่อตัดสิน
เริ่มช่วงต่อเวลานาที 90+3 เป็นอาร์เจนตินาได้ลุ้นประตูก่อน เมื่อ อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ ลองยิงไกลจากแถวสอง แต่บอลก็ยังไม่ตรงกรอบ ออกหลังไป
นาทีสุดท้ายของการต่อเวลาครึ่งแรก อาร์เจนตินาทำเกมขึ้นมา แล้วได้จบสกอร์ 2 จังหวะซ้อน โดยในจังหวะแรก เลาตาโร มาร์ติเนซ ยิงในกรอบเขตโทษ บอลไปติดบล็อกไปเข้าทาง กอนซาโล มอนเทียล ยิงสวน แต่ ราฟาแอล วาราน ยังโหม่งสกัดเอาไว้ได้
ช่วงทดเวลานาที 105+1 อาร์เจนตินา น่าจะได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง เมื่อ เลาตาโร มาร์ติเนซ หลุดไปในกรอบเขตโทษ แต่ยิงบอลหลุดกรอบออกหลังไป ทำให้หมดช่วงต่อเวลาครึ่งแรก เกมยังเสมอกัน 2-2
นาทีที่ 108 ในการต่อเวลาครึ่งหลัง ลิโอเนล เมสซี ได้โอกาสลองสับไกแถวเส้นเขตโทษ บอลพุ่งเสียบโคนเสาแรก แต่ อูโก โญริส ปัดออกไปได้
นาทีที่ 109 อาร์เจนตินา ขึ้นนำอีกครั้ง จากจังหวะที่ เลาตาโร มาร์ติเนซ หลุดไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนสับไกเต็มแรง บอลติดเซฟของ อูโก โญริส ไปเข้าทาง ลิโอเนล เมสซี ซ้ำจ่อๆ ถึงแม้บอลจะโดน ชูลส์ กุนเด เคลียร์ออกมาในจังหวะสุดท้าย แต่ลูกข้ามเส้นประตูไปทั้งใบแล้ว ทำให้อาร์เจนตินาขึ้นนำอีกครั้ง 3-2
นาทีที่ 117 ฝรั่งเศสมาได้ลูกที่จุดโทษอีกครั้ง เมื่อ กอนซาโล มอนเทียล พยายามเข้าบล็อกลูกยิงของ คีเลียน เอ็มบัปเป แต่บอลไปโดนแขน กลายเป็นลูกแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ เอ็มบัปเป จะรับหน้าที่สังหารด้วยตัวเองเข้าไป กลายเป็นประตูตีเสมอ 3-3 และเป็นแฮตทริกของเขาในรอบชิงชนะเลิศด้วย
นาทีที่ 120 ฝั่งเศสได้ลุ้นประตูขึ้นนำ เมื่อ คีเลียน เอ็มบัปเป เปิดบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ ร็องดาล โคโล มูอานี พยายามขึ้นโหม่ง แต่ไม่โดนบอล ทว่าบอลก็กระดอนเกือบเข้าประตูไปแบบมีเสียว
นาทีที่ 120+3 ฝรั่งเศส น่าได้ประตูชัยอย่างยิ่ง เมื่อ ร็องดาล โคโล มูอานี หลุดไปยิงในกรอบเขตโทษ บอลไปติดเซฟ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ที่พยายามออกมาตัดบอลอย่างน่าเหลือเชื่อ
นาทีเดียวกัน จากจังหวะโต้กลับขึ้นมาของ อาร์เจนตินา บอลมาถึงศีรษะของ เลาตาโร มาร์ติเนซ ได้โหม่งในจังหวะสุดท้าย แต่บอลก็หลุดกรอบออกไปแบบไม่ได้ลุ้น ทำให้ครบ 120 นาที ทั้งสองทีมยังเสมอกันอยู่ด้วยสกอร์ 3-3 ต้องยิงจุดโทษเพื่อตัดสินหาแชมป์
ส่วนผลการยิงลูกที่จุดโทษ มีดังนี้
คีเลียน เอ็มบัปเป
ลิโอเนล เมสซี
คิงสลีส์ โกมัน
เปาโล ดิบาลา
โอเรลีแย็ง ชูอาเมนี
เลอันโดร ปาเรเดส
ร็องดาล โคโล มูอานี
กอนซาโล มอนเทียล
ทำให้จบเกม อาร์เจนตินา เอาชนะลูกที่จุดโทษเหนือ ฝรั่งเศส 4-2 หลังเสมอในเวลา 3-3 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ได้สำเร็จ