มีคนกล่าวกันว่าการพบกันครั้งแรกของผู้ยิ่งใหญ่นั้นบ่อยครั้งที่มักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ตัวมาก่อน
สำหรับ ลิโอเนล เมสซี และ ลูกา โมดริช การพบกันครั้งแรกของพวกเขาทั้งคู่เกิดขึ้นในวันแรกของเดือนมีนาคม โดยไม่ได้เป็นการพบกันในรายการทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างฟุตบอลโลก และไม่ใช่การพบกันในบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา หรือซาเกร็บ เมืองหลวงของโครเอเชียแต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สื่อแดนผู้ดีตีข่าวเสื้อ บอลโลก 2022 ของอังกฤษถูกวางขายด้วยราคา 4,900 บาท แต่ ‘คนงาน’ ที่ผลิตในโรงงานของ ‘ไทย’ ได้ค่าแรงเพียง 43 บาทต่อชั่วโมง
- จิบเบียร์เชียร์ ฟุตบอลโลก ฝันไปเถอะ! FIFA ความดันขึ้นหลังเจ้าภาพ ‘กาตาร์’ สั่งโละจุดขายเบียร์ในสนาม
- จับตากระแส ฟุตบอลโลกปี 2022 จะคึกคักหรือไม่ หลังเศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อยังไม่กลับมา ฝั่งสินค้าชะลอใช้งบโฆษณา
การพบกันครั้งแรกของสองนักฟุตบอล ‘หมายเลข 10’ ซึ่งต่อมาเป็นผู้วิเศษผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยทั้งคู่นั้นเกิดขึ้นในเกมนัดกระชับมิตร ซึ่งมาจัดกันที่สนามเซนต์จาค็อบ ในเมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ดูไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรแม้แต่น้อย
เหตุผลของการพบกันที่นั่นเนื่องจากทีมชาติอาร์เจนตินาต้องการอุ่นเครื่องกับทีมชาติที่มีคุณภาพสูง ซึ่งโครเอเชียแม้จะเป็นชาติเกิดใหม่และมีประวัติศาสตร์ในทางฟุตบอลน้อย แต่พวกเขาก็เคยสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ด้วยการจบอันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 1998 และนับจากนั้นก็ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 3 สมัยติดต่อกัน
และความจริงทั้งสองชาติก็เคยพบกันมาก่อนในเกมรอบแรกของฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส โดยที่อาร์เจนตินาเป็นฝ่ายเอาชนะพวกเขาได้ในรอบแรก แต่สุดท้ายพลาดท่าให้กับความมหัศจรรย์ของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ ถูกเนเธอร์แลนด์เขี่ยตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปในครั้งนั้น
เพียงแต่เพราะนักเตะอาร์เจนไตน์ค้าแข้งในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเดินทางไปอุ่นเครื่องในบ้านเกิดให้เสียเวลาและเสียพลังงานเปล่าๆ ก็ออกมาตระเวนอุ่นเครื่องในแถบยุโรปหรือตะวันออกกลางซึ่งเป็นจุดนัดพบตรงกลางและเป็นสิ่งที่ทีมจากลาตินทำมานานแล้ว
การพบกับโครเอเชียในเกมนั้นนับเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเตรียมทีมที่จะสู้ศึกฟุตบอลโลกสำหรับอาร์เจนตินา และความคาดหวังสำหรับทีมชุดของ โฮเซ เปเกอร์มาน ก็มีสูงลิบ เพราะอัลบิเชเลสเตเต็มไปด้วยแข้งระดับอุโฆษมากมาย
เอร์นาน เครสโป, คาร์ลอส เตเวซ, วอลเตอร์ ซามูเอล, เอสเตบัน กัมบิอัสโซ และผู้เล่นหมายเลข 10 ฮวน โรมัน ริเกลเม โดยที่บนม้านั่งสำรองยังมี ปาโบล ไอมาร์, มักซี โรดริเกซ, ดิเอโก มิลิโต และ ฮวน ปาโบล โซริน อยู่ด้วย
แต่คนที่ถูกจับจ้องมากที่สุดคือไอ้หนูวัย 18 ปีในเสื้อหมายเลข 19 ที่ลงสนามในตำแหน่งปีกขวาของระบบการเล่นแบบไดมอนด์
ลิโอเนล เมสซี ไม่ใช่ความลับของโลกอีกต่อไปแล้ว และสถานการณ์ของเขานั้นใกล้เคียงกับในวันที่ ดิเอโก มาราโดนา ก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นในวงการฟุตบอลอาร์เจนตินาในช่วงก่อนฟุตบอลโลก 1978 คือการเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งในระดับปรากฏการณ์ที่โดดเด่นขึ้นมาไวเกินหน้าเกินตาทุกคน
ความมหัศจรรย์ของทั้งมาราโดนาและเมสซีทำให้แฟนฟุตบอลคาดหวังว่าพวกเขาจะได้โอกาสในการลงสนามทุกนัด ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นความกดดันมหาศาลของคนที่เป็นโค้ช เพราะนั่นหมายถึงแผนงานหรือสิ่งที่ตระเตรียมเอาไว้อาจต้องมีการปรับและเปลี่ยนใหม่หมด
ที่สำคัญคือในทีมชาติอาร์เจนตินาไม่ต่างจากอีกหลายๆ ชาติที่มีระบบ ‘อาวุโส’ อยู่ในทีม ต่อให้เก่งแค่ไหนถ้าไม่ได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ในทีมก็เป็นเรื่องยาก
นั่นคือเหตุผลที่ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ตัดสินใจไม่เรียกตัวมาราโดนาติดทีมชาติในฟุตบอลโลก 1978 เพราะยังรู้สึกว่าเขาเด็กเกินไป เพียงแต่สำหรับเปเกอร์มานเขาไม่ได้ปิดประตูตายสำหรับเมสซีขนาดนั้น
ปัญหาคือเมสซีเองก็ยังไม่สามารถฉายแววในสีเสื้อฟ้าขาวได้เหมือนในชุดเยาวชนที่เขาพาทีมคว้าแชมป์โลกมาครองได้เมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น ไม่นับการเริ่มต้นที่เหมือนฝันร้ายเมื่อลงสนามนัดแรกได้แค่นาทีเดียวในเกมกับฮังการีก็โดนใบแดงเลย อีก 5 นัดต่อมาเมสซียังไม่สามารถทำประตูได้แม้แต่ลูกเดียว
เกมกับโครเอเชียจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับเขาท่ีจะพิสูจน์ให้นายใหญ่อย่างเปเกอร์มานเห็นว่าเขาดีพอสำหรับฟุตบอลโลก
ในฝั่งตรงข้าม โครเอเชียยังอยู่ในระหว่างการสร้างทีมรุ่นใหม่หลังจากรุ่นทองที่นำมาโดยอดีตยูโกสลาเวียอย่าง ดาวอร์ ซูเคอร์, โรเบิร์ต โปรซิเนสกี, โรเบิร์ต ยาร์นี อำลาทีมชาติไป ซึ่งในเกมนี้พวกเขาก็มีนักเตะดาวรุ่งอีกคนที่จะได้โอกาสในการลงสนามครั้งแรกจาก ซลัตโก ครานชาร์ เหมือนกัน
เด็กคนนั้นคือ ลูกา โมดริช กองกลางร่างเล็กจิ๋วพอๆ กับเมสซีวัย 20 ปี ที่เพิ่งได้เซ็นสัญญาระยะเวลา 10 ปีกับดินาโม ซาเกร็บ ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวฉบับแรกที่สโมสรดังอันดับหนึ่งของประเทศมอบให้หลังยอมรับในความใจสู้ของเขา
ก่อนหน้านั้นโมดริชต้องต่อสู้มาอย่างยากลำบาก เพราะถึงจะได้โอกาสในการเซ็นสัญญากับดินาโมตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่ด้วยรูปร่างที่เล็กทำให้เขาไม่ได้รับการยอมรับภายในสโมสร ก่อนจะถูกส่งตัวออกไปให้ทีมอื่นใช้งาน ทั้งซรินจ์สกี สโมสรในบอสเนีย และอินเตอร์ ซาเปรซิช ทีมเล็กๆ ที่เขาพิสูจน์ตัวเองให้เห็นด้วยการพาทีมเป็นแชมป์ฤดูหนาวโดยมีคะแนนเหนือกว่าดินาโมต้นสังกัดที่แท้จริง 6 คะแนน
แต่ความยากลำบากทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับชีวิตวัยเด็กที่โหดร้ายเกินกว่านักฟุตบอลคนไหนจะได้พบเจอ เพราะโมดริชเกิดที่เมืองซาดาร์ เมืองที่กลายเป็นสมรภูมิสู้รบกันในสงครามบอลข่าน ใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ลี้ภัยในโรงแรมแห่งหนึ่ง
จะมีก็เพียงฟุตบอลเท่านั้นที่เป็นเพื่อน ที่เขาจะใช้เวลาในยามว่างเพื่อเตะบอลเล่นอยู่ในลานจอดรถที่ว่างเปล่าของโรงแรม โดยมีเสียงระเบิดและไซเรนเป็นเหมือนเสียงเชียร์
หนูน้อยลูกาต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเมื่อเขาต้องเห็นคุณปู่เสียชีวิตลงต่อหน้าต่อตาจากการทิ้งระเบิด ทำให้พ่อและแม่ของเขาตัดสินใจที่จะพาลูกหนีอีกครั้งเพื่อรักษาชีวิตให้รอด แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนลูกาก็ยังคงเล่นฟุตบอลเสมอ และเขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเก่งเกินตัวอย่างแท้จริง
ดังนั้นในเกมที่บาเซิลจึงเป็นโอกาสที่เขารอคอยมายาวนาน นั่นไม่เพียงแต่เป็นโอกาสในการรับใช้ทีมชาติครั้งแรกที่เขาใฝ่ฝัน แต่ยังจะเป็นโอกาสทองในการจะแสดงฝีเท้าให้เหล่าแมวมองที่กำลังซุบซิบกันในวงการถึงเพชรเม็ดงามน้ำดีจากโครเอเชียว่าเขาคือเพชรแท้ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็เปล่งประกาย
แต่เมื่อเสียงนกหวีดแรกดังขึ้น ดูเหมือนคนที่จะพิสูจน์ตัวเองได้ก่อนคือเมสซี
เด็กน้อยที่ทำให้คนอาร์เจนไตน์ทุ้มอยู่ในใจเมื่อได้เห็นลีลา เพราะชวนให้คิดถึงตำนานเทพเจ้าลูกหนังอย่าง ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา (ความแตกต่างอาจจะอยู่ที่ลีโอเป็นคนไม่แสดงความรู้สึกออกมามากนัก) แผลงฤทธิ์ได้ตลอดทั้งเกม และเป็นคนที่จ่ายให้ คาร์ลอส เตเวซ ยิงตีเสมอ 1-1 ให้อาร์เจนตินาซึ่งโดน อิวาน คลาสนิช ยิงไปตั้งแต่นาทีที่ 3
ก่อนที่เมสซีจะมีชื่อบนสกอร์บอร์ดบ้างด้วยการหลุดเข้าไปแปบอลด้วยซ้ายเล่นทางอย่างเหนือชั้น
ประตูนี้คือประตูแรกในทีมชาติของเขา และแทบจะเป็นการใส่ชื่อไว้บนรายชื่อผู้เล่นทีมอาร์เจนตินาที่จะเดินทางไปเยอรมนีด้วยทันทีไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
ตลอดทั้งเกมนั้นลีโอยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเอกอุของเขา ความพลิ้วไหวสมชื่อ ‘La Pulga’ หรือเจ้าหมัดที่โดดแว็บไปแว็บมาในสนาม สร้างความปั่นป่วนให้แก่แนวรับของโครเอเชียอย่างมาก
หนึ่งในนักเตะที่เจอกับลีโอโดยตรงคือโมดริช ซึ่งแม้จะอายุมากกว่า 2 ปี แต่กลับดูอ่อนประสบการณ์กว่ามากในเกมระดับนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กหนุ่มจากซาดาร์จะไม่สู้
อย่างน้อยมีจังหวะหนึ่งในเกมที่โมดริชถูกเมสซีพยายามลากหนีไปจึงตามเข้าไปหวดจนร่วง ก่อนที่จะไปยืนค้ำหัวไว้ราวกับเป็นการแสดงให้เห็นว่าอย่ามาดูถูกกัน จนผู้ตัดสินต้องปรี่เข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างดาวรุ่งทั้งสอง เมสซีจึงลุกขึ้นมา
จังหวะนั้นเองที่ทั้งสองได้สบตากัน ไม่ต่างอะไรจากการแนะนำตัวกันและกัน
ฉันชื่อลูกา นายคือลีโอใช่ไหม จำหน้าฉันเอาไว้ให้ดีแล้วกัน
ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ เมสซีน่าจะจำเรื่องในวันนั้นได้ เพราะในวันที่เขาทำประตูแรกให้อาร์เจนตินาได้ อัลบิเชเลสเตกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ถูกโครเอเชียแซงเอาชนะได้ 3-2 ในการพบกันครั้งแรกระหว่างทั้งสอง
หลังจากนั้นเมสซีและโมดริชแม้จะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกันโดยตรงแต่ก็ต้องโคจรมาพบกันเสมอในสีเสื้อของบาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด และเมื่อกลับมาเจอกันในนามทีมชาติ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก โครเอเชียก็ยังเป็นฝ่ายที่ทำแสบด้วยการถล่มถึง 3-0 ในฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีก่อน
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเมื่อ 4 ปีก่อน หรือ 16 ปีก่อน ทุกอย่างคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ค่ำคืนนี้นักเตะหมายเลข 10 ทั้งสองจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชีวิตของทั้งคู่
หนึ่งในนั้นจะได้ก้าวเดินต่อไปสู่ความฝัน
หนึ่งเดียวเท่านั้น