กล่าวกันว่าสิ่งที่จะนำทางมนุษยชาติได้คือ ‘จินตนาการ’ ว่าพวกเขาคิดจะไปไกลแค่ไหน
เหมือนที่เราเฝ้ามองนกโผบินบนผืนฟ้า และอยากรู้ความรู้สึกของมันว่าจะเป็นอย่างไรกันนะ แล้ววันหนึ่งพี่น้องตระกูลไรต์ก็สร้างเครื่องบินที่ทำให้เราอยู่กลางอากาศได้เหมือนกัน หรือครั้งหนึ่งที่มนุษย์เคยเฝ้ามองดวงจันทร์และคิดว่ามีกระต่ายอยู่บนนั้นแล้ววันหนึ่ง นีล อาร์มสตรอง ก็กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ย่างเท้าก้าวลงบนสิ่งที่เราเคยได้แต่เฝ้ามองในยามค่ำคืนมาตลอด
จินตนาการจึงเป็นเหมือนเครื่องมือนำทางที่สำคัญที่สุด โดยที่มันยังเป็นกระจกสะท้อนความทะเยอทะยานข้างในจิตใจของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รมว.ท่องเที่ยว ซาอุดีอาระเบีย หวังจีนเลิกคุมเข้มโควิด และเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง
- ‘ซาอุดีอาระเบีย’ ประกาศลดราคาน้ำมันให้ผู้ซื้อในเอเชีย ท่ามกลางวิกฤตโควิดจีน แต่ยังคงราคาขายให้สหรัฐฯ
- ชมคลิป: เบื้องหลัง THE LINE เมืองแห่งอนาคตของซาอุดีอาระเบีย | KEY MESSAGES
เช่นนั้นเองที่มนุษย์คนหนึ่งผู้ซึ่งเกิดมาเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งอำนาจและเงินทองที่อาจกองได้สูงเทียมฟ้า คุณเขาจะจินตนาการถึงอะไร?
‘โลกอนาคต’ คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย
ที่สำคัญคือเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบียเชื่อว่าเขามี ‘พลัง’ มากพอที่จะสร้างมันให้เป็นความจริงได้ และมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วกับ Giga project โครงการโคตรยักษ์มหายักษ์ในการเนรมิตเมืองใหม่ที่เหมือนออกมาจากนิยายไซไฟมากกว่าที่จะคิดว่าเป็นความจริง
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อของ ‘THE LINE’ มาบ้างแล้ว แต่วันนี้เชื่อว่าจะได้รู้จักมันดียิ่งขึ้นไปอีก
NEOM โลกแห่งอนาคต
แต่ก่อนที่จะไปถึง THE LINE เราควรรู้จัก NEOM ก่อน
NEOM คือชื่อของโปรเจกต์ยักษ์ และเป็นหัวใจของ ‘Vision 2030’ ยุทธศาสตร์แห่งชาติระยะยาว ซึ่งมีการเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2016 โดยมีพันธกิจในการทำให้ซาอุดีอาระเบียไม่เป็นชาติที่พึ่งพาแต่น้ำมันอีกต่อไป เพราะ ‘ทองคำดำ’ ที่อยู่ใต้ผืนดินนั้นมีวันหมด และถ้ามันหมดผืนดินของพวกเขาจะไม่เหลืออะไรอีกนอกจากเม็ดทรายจำนวนมหาศาล
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างแผ่นดินใหม่ หรือความจริงควรจะบอกว่าเป็นนิยามของโลกสมัยใหม่ในอนาคตที่ชาวซาอุดีอาระเบีย รวมถึงชาวโลกจะสามารถอยู่อาศัยในนั้นได้อย่างยั่งยืน และอยู่อย่างสุขสบายไปอีกหลายชั่วยุคสมัย
โดยในคำว่ายั่งยืนนั้นเป็นเพราะหัวใจของ NEOM คือการใช้พลังงานสะอาดหมุนเวียน 100% ทำให้ไม่เกิดมลพิษ โดยหนึ่งในกำลังสำคัญคือ โรงงานผลิตไฮโดรเจนที่จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ในการสร้างพลังงานสะอาด เพื่อเป็นรายได้ใหม่ของประเทศแทนที่น้ำมัน
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมโครงการนี้จึงชื่อว่า NEOM เพราะมันเป็นการผสมผสานระหว่างคำว่า Neo ซึ่งแปลว่า ‘ใหม่’ ในภาษากรีก และ Mustaqbal ซึ่งแปลว่า ‘อนาคต’ ในภาษาอารบิก
พื้นที่ของโครงการนั้นตั้งอยู่ที่แคว้นตะบูก (Tabuk) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบียซึ่งติดกับทะเลแดง และมีภูเขามีเดียนซึ่งมีหิมะปกคลุมบนยอดเขา ซึ่งเป็นที่ที่ซาอุดีอาระเบียเตรียมใช้งบประมาณเหนือจินตนาการถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 18 ล้านล้านบาท เพื่อเปลี่ยนผืนดินที่แห้งแล้งให้เป็นโลกใหม่
โดยใน NEOM เองมีมหาโปรเจกต์ที่กำลังเริ่มต้นอย่างจริงจังทั้งหมด 3 โครงการด้วยกัน ประกอบไปด้วย
- Oxagon เมืองอุตสาหกรรมและท่าริมชายฝั่งกลางน้ำ
- Trojena สวรรค์ที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาเอง เมืองรีสอร์ตที่แฝงตัวลึกอยู่ในหุบเขาที่จะไม่ทำให้ใครอยากไปไหนอีก
- THE LINE เมืองที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตที่อยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
และข้อ 3 ที่เราจะมาทำความรู้จักมักจี่กันเป็นพิเศษในวันนี้
THE LINE เมืองเส้นตรงแนวตั้งที่ถูกขีดขึ้นจากความฝัน
ในขณะที่ Oxagon เมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่าที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่บนผืนน้ำ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งกำเนิดพลังชีวิตของ NEOM ทั้งโครงการและเพื่อเป็นเมืองท่าค้าขายกับชาวโลก (เพราะตั้งอยู่ใกล้กับคลองสุเอซ ซึ่งเรือบรรทุกสินค้าสามารถจอดแวะเพื่อหยุดพักและค้าขายได้) และ Trojena เมืองตากอากาศในหุบเขาที่จะมีการสร้างทะเลสาบจำลองขนาดใหญ่ รวมถึงการเนรมิตหิมะขึ้นบนหุบเขากลางทะเลทรายยังไม่ถึงกับเป็นไอเดียที่หลุดโลกมากนัก
THE LINE คือสิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกตั้งคำถามกับเมืองในจินตนาการที่เหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟมากกว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เมืองแนวตั้งที่มีความกว้าง 200 เมตร ความยาว 170 กิโลเมตร ความสูง 500 เมตรโดยมีกระจกทำหน้าที่เป็นกำแพงตลอดระยะทาง ใช้พลังงานสะอาดหมุนเวียน ไม่มีมลพิษ เพราะไม่มีถนน และที่ไม่มีถนนเพราะไม่ต้องใช้รถ แถมยังมีพื้นที่สีเขียวปกคลุมตลอดทั้งเมืองให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัย
เรียกได้ว่าแนวคิดของ THE LINE นั้นไม่ใช่แค่การออกแบบสิ่งก่อสร้างธรรมดา แต่เป็นการสร้างโลกใบใหม่ และออกแบบการใช้ชีวิตใหม่ของมนุษย์แห่งอนาคตเลยทีเดียว
ความจริงแล้วเมืองแนวขวางที่เหมือนการขีดเส้นแบบนี้ไม่ถึงกับเป็นของใหม่เสียทีเดียว ในอดีต อาร์ตูโร โซเรีย อี มาตา (Arturo Soria y Mata) นักออกแบบผังเมืองเคยคิด ‘เมืองแนวขวาง’ แบบนี้มาแล้วในปี 1882 โดยเบื้องหลังแนวคิดในครั้งนั้นเป็นการทำเพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา ไฟฟ้า พลังงาน หรือการขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
สำหรับ THE LINE คือการต่อเติมจินตนาการจากอดีตให้เป็นความจริงด้วยเทคโนโลยีจากโลกอนาคต ซึ่งด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้การใช้พื้นที่ทั้งหมด 34 ตารางกิโลเมตรจะสามารถรองรับพลเมืองได้ถึง 9 ล้านคน เทียบเท่ากับเมืองใหญ่อย่างลอนดอน (มีเนื้อที่ 1,600 ตารางกิโลเมตร) โดยใช้เนื้อที่น้อยกว่ามากมายหลายเท่า
ซึ่งการใช้เนื้อที่น้อยกว่าเกิดจากการเปลี่ยนวิธีคิดจากการสร้างเมืองแนวราบ (Horizontal) เป็นเมืองแนวตั้ง (Vertical) ในแบบ 3 Dimensions (ขึ้น,ลง, ขวาง) อย่างแท้จริง และเรียกแนวคิดนี้ว่า ‘Zero Gravity Urbanism’
ชุมชนของ THE LINE ถูกออกแบบให้เป็น ‘บล็อก’ โดยในแต่ละบล็อกจะมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่อยู่อาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ทำงาน สนามกีฬา ไปจนถึงสวนสาธารณะ เรียกว่า Hyper-Mixed-Use ที่มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้อย่างหลากหลาย ไม่ต่างอะไรจากเมืองหนึ่งที่มีโน่นมีนี่เต็มไปหมด
และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในแบบ ‘อัตโนมัติ’ คอยตอบสนองการใช้ชีวิตมากมาย เช่น หุ่นยนต์ผู้ช่วย หรือระบบแท็กซี่ลอยฟ้า (ใช่! ลอยฟ้า!!) ไปจนถึงการเดินทางด้วยระบบขนส่งสุดล้ำสมัย ที่จะทำให้การเดินทางจากด้านซ้ายสุดไปขวาสุดใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที หรือเดินทางขึ้นหรือลง
นั่นทำให้สังคมใน THE LINE จะมีความใกล้ชิดอย่างมาก (Hyper-Proximity) เป็นพิเศษ ซึ่งถ้าเปรียบให้เห็นภาพ หากเมืองแมนฮัตตันนั้นเราสามารถเข้าถึงผู้คนได้ 25,000 ภายในการเดิน 5 นาที ที่ THE LINE เราสามารถเข้าถึงผู้คนได้ 80,000 คนภายในระยะเวลาเดียวกันด้วยความสะดวกสบายเท่ากัน
ที่สำคัญคือผู้คนไม่ว่าจะอยู่ ‘ชั้นบน’ หรือ ‘ชั้นล่าง’ ชีวิตก็จะเหมือนกัน ทุกอย่างเท่าเทียมกัน เพราะที่ THE LINE จะไม่มีการ ‘จัดลำดับชนชั้น’ ทุกคนสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะ Ecosystem นั้นเอื้อต่อการดำรงชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและมีความสุข
ฟังดูเป็นโลกในอุดมคติใช่ไหม?
หัวใจ 4 ห้องของ THE LINE
หัวใจของ THE LINE ที่บอกเล่าผ่านนิทรรศการ THE LINE ในกรุงเจดดาห์ แห่งซาอุดีอาระเบีย มีอยู่ 4 อย่างด้วยกัน
1. การเข้าถึงธรรมชาติและคุณภาพชีวิตระดับสูง
นอกจากรูปแบบของอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ดูล้ำสมัยแล้ว อีกสิ่งที่ช่วยทำให้ THE LINE ดูดีคือภาพวาดสามมิติที่จะมองเห็นสีเขียวของต้นไม้ และสีสันของดอกไม้นานาพรรณที่อยู่ในนั้น
THE LINE ต้องการให้ทุกคนเข้าถึงธรรมชาติได้อย่างง่ายดายและมากที่สุด เพราะเชื่อว่าการเข้าถึงธรรมชาตินั้นคือสิ่งสำคัญของมนุษย์ ดังนั้นไม่เพียงแต่จะมีต้นไม้สีเขียวปกคลุมตลอดชนิดที่จะอยู่ใต้เงาไม้ทุก 2 นาทีแล้วชาว THE LINE ยังสามารถเดินทางไปชายฝั่ง ทะเล ภูเขา หรือแม้แต่ทะเลสาบได้อย่างง่ายดาย
เรียกได้ว่านึกจะไปตอนนี้ก็สามารถไปถึงได้เลยภายในระยะเวลาไม่กี่นาที และยังมีระบบเมืองอัจฉริยะที่จะมี AI คอยประมวลข้อมูลทุกอย่าง และหาทางทำให้คุณภาพชีวิตของชาวเมืองในวันนั้นๆ ดีขึ้น
2. อากาศบริสุทธิ์
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองปลอดคาร์บอน (Zero-Carbon) โดยสิ้นเชิง สิ่งสำคัญคือการที่เมืองแห่งนี้ไม่มีถนน ไม่มีรถยนต์ การเดินทางนั้นเน้นการ ‘เดิน’ ของผู้คนเป็นหลัก สามารถเข้าถึงสถานที่ต่างๆ ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วแค่ 5 นาที และอย่างที่บอก การเดินทางตลอด ‘เส้น’ ของ THE LINE ใช้เวลาแค่ 20 นาที
พลังงานที่ใช้ในเมืองแห่งนี้ยังเป็นพลังงานบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่สามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ ไม่ว่าจะในระบบสาธารณูปโภคหรือในระบบโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีอะไรที่สูญเปล่า
เพราะไม่สร้างมลพิษเลยและเป็นเมืองที่เปิดโล่ง ทำให้คุณภาพอากาศของ THE LINE จึงบริสุทธิ์ สามารถสูดหายใจได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร
3. ความสะดวกสบายแค่ปลายเท้า
ชาวเมือง THE LINE น่าจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีพอสมควร เพราะในชีวิตประจำวันแล้วจะใช้การ ‘เดิน’ เป็นหลัก
ทุกอย่างที่ต้องการในชีวิตจะอยู่ในรัศมีการเดินระยะเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น ไม่ว่าจะเดินจากบ้านไปร้านอาหาร ไปโรงพยาบาลหรืออะไรก็ตาม โดยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดคือเรื่องของการสานสัมพันธ์ในสังคมที่เคยเป็นจุดยึดโยงของมนุษย์ในอดีตก่อนจะเริ่มหายไปในปัจจุบัน
ด้วยความชิดใกล้ของผู้คนที่อาศัยใน THE LINE จะทำให้สังคมที่ใกล้ชิดกันกลับมาอีกครั้ง
4. อากาศดีตลอดปีและตลอดไป
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความสุขได้อย่างง่ายๆ คือ สภาพอากาศที่ดีและสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ ซึ่งด้วยการเน้นความสำคัญของธรรมชาติที่ไม่ใช่เพียงแค่การมีพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก ยังรวมถึงการคำนวณเรื่องของแสงอาทิตย์ ร่มเงา การระบายอากาศ
ภูมิอากาศที่ดีและสภาพแวดล้อมที่สวยงามร่มรื่นใน THE LINE จะทำให้ที่นี่เป็นเมืองที่ดีต่อการใช้ชีวิต การทำงาน หรือแม้แต่การมาเยี่ยมเยือนเพื่อเปิดจินตนาการสักครั้ง
โดยเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ผู้เป็นประธานของ NEOM ได้กล่าวถึงเมืองแห่งอนาคตว่า “THE LINE จะต่อสู้กับความท้าทายของมนุษยชาติในการใช้ชีวิตในเมืองทุกวันนี้ และจะฉายให้เห็นวิถีชีวิตในอีกรูปแบบ เราไม่อาจมองข้ามวิกฤตเรื่องของการอยู่อาศัย และสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ของโลก และ NEOM คือคนที่จะอยู่แนวหน้าที่จะเสนอทางออกใหม่ และจินตนาการสำหรับการค้นหาคำตอบในเรื่องนี้”
เรียกได้ว่าเป็นคำประกาศที่ท้าทายต่ออนาคตของมนุษยชาติอย่างมาก เพราะหาก THE LINE ประสบความสำเร็จ นั่นอาจหมายถึงโอกาสที่เราจะได้เห็นเมืองแห่งอนาคตในแบบใกล้เคียงกันเกิดขึ้นอีก
อาจจะไม่สามารถทุ่มงบเพื่อทำได้ขนาดนี้ แต่อย่างน้อยแนวคิดของเมืองแนวตั้ง การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ และการเป็นเมืองแห่งความยั่งยืนที่แท้จริงก็เป็นแนวทางที่ดีใช่ไหม?
THE LINE จะกลายเป็นความจริงได้ไหม?
คำถามต่อมาคือคำถามที่ตอบได้ยากที่สุด ไอเดียบรรเจิดขนาดนี้ THE LINE จะเป็นความจริงได้ใช่ไหม?
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีการตั้งคำถามกันมาก เพราะโครงการแม่อย่าง NEOM เองก็ประสบปัญหามากมายในการทำงาน เพราะถึงจะมีการทุ่มซื้อบุคลากรระดับแถวหน้าของโลกในวงการต่างๆ ตั้งแต่นักออกแบบ วิศวกร ไปจนถึงทีมงานฮอลลีวูด (เพื่อสร้างสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการ) แต่ทุกอย่างมันฟุ้งฝันเหมือนติดอยู่กลางพายุทะเลทรายยากจะมองเห็นภาพได้ชัดเจน
คนที่ถูกซื้อตัวมาทำงานส่วนมากจะทำงานกับ NEOM ได้ไม่นานแล้วจากไป (พร้อมเงินก้อนโต) ก่อนมีคนใหม่เข้ามาทำงานต่อซึ่งก็ไม่ได้ทำให้มีความคืบหน้ามากนัก และบางโปรเจกต์ก็ไปไม่ถึงฝัน เช่น Silver Beach ชายหาดสีเงินที่จะปูด้วยหินอ่อนซึ่งสุดท้ายก็ถูกพับไป
ไม่นับเรื่องของปัญหาการก่อสร้างที่เกิดคำถามว่า กว่าจะสร้างโครงการยักษ์ขนาดนี้จะเกิดมลพิษมากขนาดไหน? ซึ่งมีการประเมินว่าจะทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ถึง 1.8 กิกะตัน แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะชูเรื่องของความยั่งยืนในเมื่อตัวโครงการคือตัวทำลายสิ่งแวดล้อมเสียเอง?
ไปจนถึงปัญหาใหญ่อย่างเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นการบุกรุกพื้นที่ของชนเผ่า Huwaitat ที่อยู่อาศัยในพื้นที่มานาน มีคนที่ถูกจับเพราะประท้วงและถูกลงโทษประหารชีวิต
อย่างไรก็ดีสำหรับ THE LINE ดูจะเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันสำหรับ NEOM ที่ดูมีแววจะเป็นจริงมากที่สุด โดยขณะนี้มีภาพถ่ายจากโดรนที่แสดงให้เห็นว่า ตอนนี้โครงการได้เริ่มต้นการก่อสร้างแล้ว และเป็นการเริ่มต้นจากผืนดินที่แห้งแล้งอย่างแท้จริง
คาดการณ์กันว่าโครงการนี้จะเสร็จสิ้นภายในปี 2030 หรืออีก 8 ปีข้างหน้า แต่มีการประเมินกันว่าไม่น่าเป็นไปได้ และอาจต้องใช้เวลาถึงปี 2050 กว่าจะเสร็จสิ้น
ดังนั้น คำถามต่างๆ ที่คาใจตั้งแต่เรื่องใหญ่อย่างการก่อสร้างจะสำเร็จหรือไม่ สร้างแล้วจะสวยงามเหมือนภาพ CG หรือเปล่า ไปจนถึงเรื่องพื้นฐานอย่างการโดยสารขึ้นลงระหว่าง ‘ชั้น’ ของบล็อกนั้นจะใช้เวลาแค่ไหน ต้องต่อคิวกันหรือเปล่า และปัญหาสังคมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นขอให้ทดในใจเอาไว้ก่อน
จับตาดู THE LINE (ไปจนถึง NEOM) ไปด้วยกันอย่างเงียบๆ เวลาจะให้คำตอบเราเองว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่
แต่ก็อย่างที่บอกในบรรทัดแรก สิ่งเดียวที่จะตัดสินว่ามนุษย์จะสามารถเดินทางไปได้ไกลแค่ไหนคือจินตนาการนั่นเอง
ภาพ: NEOM
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/10/25/neom-saudi-arabia-pushes-ahead-with-its-sci-fi-city-vision.html
- https://www.bloomberg.com/features/2022-mbs-neom-saudi-arabia/
- https://theconversation.com/what-is-the-line-the-170km-long-mirrored-metropolis-saudi-arabia-is-building-in-the-desert-188639
- https://www.arabianbusiness.com/industries/construction/inside-neoms-the-line-saudi-arabias-170km-city-cutting-straight-through-the-desert
- https://allthatsinteresting.com/saudi-arabia-the-line
- https://www.designboom.com/architecture/neom-line-saudi-arabia-vertical-city-interview-tarek-qaddumi-08-11-2022/
- https://www.arabianbusiness.com/galleries/in-pictures-saudi-arabias-neom-under-construction-as-futuristic-170km-long-city-takes-shape-in-the-desert
- https://en.wikipedia.org/wiki/The_Line,_Saudi_Arabia