สงครามระหว่างเว็บเทรดคริปโตระดับโลก Binance และ FTX ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดเมื่อวานนี้ (8 พฤศจิกายน) และยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดในวันนี้ ทาง THE STANDARD WEALTH ได้สรุปประเด็นที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองเว็บเทรดคริปโต รวมถึงสิ่งที่ต้องจับตามองต่อไป
Binance และ FTX เป็นเว็บเทรดคริปโตชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันมาตลอด โดยทาง Binance มีซีอีโอนามว่า ชางเพ็งเจา หรือที่รู้จักกันว่า ‘CZ’ เขาเป็นผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งในอุตสาหกรรมคริปโต นอกจากนี้ทาง Binance มีโทเคนดั้งเดิมคือ BNB ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าอันดับ 4 ของตลาด ส่วนทาง FTX มีผู้ก่อตั้งคือ แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ หรือ ‘SBF’ ทางเว็บเทรด FTX ได้สร้างโทเคนดั้งเดิมของแพลตฟอร์มคือ FTT
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- การเดินหมากครั้งต่อไปของ Binance หลังจากเข้าซื้อกิจการของ FTX เว็บเทรดชั้นนำอันดับ 2 ของโลก
- แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ หลุดสถานะเศรษฐีพันล้าน หลังความมั่งคั่งส่วนตัววูบ 94% ในคืนเดียว
- บิทคอยน์ ร่วงหนัก! แตะระดับต่ำสุดในรอบปี นักลงทุนหวั่นวิกฤตสภาพคล่องซ้ำรอย Celsius และ Three Arrows
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 พฤศจิกายน) CZ ซีอีโอของ Binance ประกาศผ่าน Twitter ว่าแพลตฟอร์มของเขากำลังขายโทเคน FTX ซึ่งเป็นโทเคนของเว็บเทรด FTX ทั้งหมดในบัญชีของตน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยกับการล่มสลายของ Terra โดยจะมีการทยอยขายทั้งหมดภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข่าวนี้ส่งผลให้ราคาเหรียญ FTX ดิ่งลงทันทีกว่า 10% และตามด้วยแรงขายที่ตามมา รวมถึงการแห่ถอนเงินออกจากเว็บเทรด FTX
ราคาเหรียญ FTT ดิ่งลงทันทีกว่า 10% หลังจากทวีตของ CZ เกี่ยวกับการเทขายเหรียญ หลังจากนั้น ชางเพ็งเจา และ แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ ได้มีการโต้ตอบกันทาง Twitter ซึ่งชุมชนคริปโตต่างก็มองว่านี่เป็นสงครามธุรกิจระหว่างเว็บเทรดคริปโตยักษ์ใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของโลก
นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับมูลค่าเหรียญที่ถูกเสกขึ้นมาจากอากาศ แต่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง เนื่องจาก Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ FTX ได้ถือครองเหรียญ FTT จำนวนมาก และมีการบันทึกบัญชีให้มีมูลค่าสูงเกินจริง นอกจากนี้ยังมีหนี้สินของบริษัทที่ไม่ได้มีการระบุที่มาอย่างชัดเจน และการลิสต์เหรียญที่มีสภาพคล่องต่ำอีกมากมาย
ความกลัวที่ถาโถมเข้ามาในตลาด รวมถึงข่าวลือว่า FTX อาจล้มละลายตามรอยบริษัท Celsius ได้แพร่สะพัดทั่วโซเชียลมีเดีย ทำให้นักลงทุนแห่ถอนเงินออกจากแพลตฟอร์ม FTX จำนวนมาก โดยคาดว่ามีการถอนเงินออกจากเว็บเทรดมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 72 ชั่วโมงล่าสุด จนทางเว็บเทรดต้องออกมาประกาศหยุดการถอนเหรียญในบางสกุลเมื่อค่ำคืนวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ราคาเหรียญ FTX ยังคงร่วงลงต่อไป โดยดิ่งลงมากถึง 75% ภายในวันเดียว จากข่าวร้ายที่เกิดขึ้น และผลตอบแทนในช่วง 7 วันที่ผ่านมา มูลค่าของโทเคนได้หายวับไปกว่า 82%
ทาง FTX ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์โดยการเข้าไปเจรจากับ Binance ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง ในที่สุดทาง Binance ก็ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงที่ไม่มีผลผูกพันสำหรับการเข้าซื้อกิจการของ FTX ซึ่งเป็นเว็บเทรดสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลก โดยจะมีการประเมินสถานการณ์ธุรกิจในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้เสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีความท้าทายการอนุมัติด้านกฎระเบียบ เพราะข้อตกลงนี้อาจเข้าข่ายการผูกขาดกิจการ ซึ่งไม่สามารถทำได้ในสหรัฐฯ ดังนั้นข้อตกลงนี้อาจถูกยกเลิกได้ตลอดเวลา นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด
ความเชื่อมั่นในตลาดยังคงแย่ลงต่อไป โดยราคาเหรียญส่วนใหญ่ในตลาดซื้อขายในแดนลบ ขณะที่ Bitcoin แตะระดับต่ำสุดในรอบปีต่ำกว่า 18,000 ดอลลาร์แล้ว นักลงทุนมองว่าเหตุการณ์นี้อาจซ้ำรอยการล่มสลายของ Terra จึงระมัดระวังอย่างมากในเวลานี้
ในขณะที่ข่าว Binance เข้าซื้อกิจการ FTX จะถูกจับตามองต่อไปว่าข้อตกลงนี้จะสำเร็จหรือไม่ อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องติดตามคือ บริษัทคริปโตที่มีการถือครองเหรียญ FTT หรือบริษัทที่ลงทุนในเว็บเทรด FTX แห่งใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ เพราะนี่อาจเป็นผลกระทบด้านสภาพคล่องที่ลุกลามต่อไปในวงกว้าง เช่นเดียวกับการล่มสลายของ Terra เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดผู้บริหารของบริษัท Tether, Circle และ Coinbase ได้ออกมายืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือลงทุนใดๆ ใน FTX ทั้งนั้น
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น
อ้างอิง: