เกิดอะไรขึ้น:
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ประเทศไทยได้ปรับลดระดับโควิดจาก ‘โรคติดต่ออันตราย’ สู่ ‘โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง’ การปรับโควิดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทำให้มีการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและมาตรการควบคุมโรค เช่น
- การใช้สิทธิ UCEP Plus กำหนดให้เฉพาะผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีแดง (อาการรุนแรง) สามารถใช้สิทธิ UCEP Plus เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทุกแห่งได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนกว่าจะหายดี (ถอดผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเหลือง หรือเริ่มมีอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง ออกจากสิทธิ UCEP Plus)
- ยกเลิกมาตรการกักตัวสำหรับผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเขียว (ไม่มีอาการ/อาการไม่รุนแรง) และบริการ Hospital
- ผู้เดินทางไม่ต้องแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีนหรือผลตรวจโควิดเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย
แม้รายได้จากบริการโควิดจะมีแนวโน้มลดลง แต่บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติเติบโตขึ้น สถานการณ์เช่นนี้สอดคล้องกับมุมมองของ InnovestX Research ที่ว่ารายได้จากบริการโควิดจะเริ่มลดลงใน 2Q65 ถึงปี 2566 จากฐานสูงในปี 2564 เพราะสถานการณ์โควิดทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการฉีดวัคซีนได้ในวงกว้างมากขึ้น ส่งผลทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และเสียชีวิตลดลง
โดยมองว่าการเดินทางเข้าประเทศไทยได้สะดวกมากขึ้นจะช่วยสนับสนุนให้บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานใน 2H65 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ BDMS (บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติคิดเป็น ~30% ของรายได้ก่อนเกิดโควิด) และ BH (~ 65%) เติบโตเพิ่มขึ้น
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มการแพทย์ (SETHELTH) ปรับลดลง 0.73%MoM ดีกว่า SET Index ที่ปรับตัวลง 3.27%MoM
แนวโน้มผลประกอบการ 2565:
InnovestX Research คาดว่า 3Q65 BDMS และ BH จะรายงานกำไรปกติเติบโต YoY และ QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด และบริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่ BCH และ CHG คาดว่ากำไรปกติจะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิดที่เติบโตเพิ่มขึ้นจะไม่สามารถชดเชยฐานรายได้ระดับสูงจากบริการโควิดที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง
สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มการแพทย์คือ BDMS ซึ่งเชื่อว่ากำไรจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการที่ราคาหุ้น BDMS ยังปรับขึ้นช้ากว่าหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน (ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BDMS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% เทียบกับ BH ที่เพิ่มขึ้น 26%) จะสนับสนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อไปได้
ด้าน BCH และ CHG นั้น แม้ว่า Valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ แต่เชื่อว่ากำไรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากฐานสูงสืบเนื่องมาจากบริการโควิดจะกดดันราคาหุ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 1H66 ก่อนที่จะกำไรจะกลับคืนสู่ทิศทางขาขึ้นใน 2H66
อย่างไรก็ตาม Upside และปัจจัยเสี่ยง Upside คือการมีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยชาวต่างชาติ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้รายได้และมาร์จิ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP